อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าก้าวกับกับเพื่อไทยไม่มีทางไปไปด้วยกันได้แน่นอน ไม่ต้องอะไรมากแค่บันไดขั้นแรกอย่างตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จนป่านนี้ถึงวันรัฐพิธีเปิดประชุมสภานัดแรกแล้ว แต่ 2 พรรคแกนนำรัฐบาลใหม่ส้ม-แดง ยังคุยกันไม่จบยังตกลงกันไม่ได้เสียที ขนาดวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาจะเป็นเดดไลน์ของการหารือระหว่าง 2 พรรค และ 8 พรรคร่วมรัฐบาล 312 เสียง แต่จนแล้วจนรอด ระหว่างเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็ยังตกลงเรื่องสินสอดกันไม่ได้งานวิวาห์ก็กำลังจะเริ่มแขกเหรื่อก็เชิญกันมาหมดแล้ว ตามการเมืองมาก็หลายปีหลายยุคหลายสมัย น่าจะเป็นยุคนี้แหละที่การเมืองอลเวงมากสุดเพราะต่างฝ่ายต่างใส่หน้ากากเข้าหากัน
ความจริงอย่างที่เกริ่นหัวไปก้าวไกลกับเพื่อไทย ไม่มีทางไปกันได้ น้ำกับน้ำมันดีๆนี้เอง ฝ่ายหนึ่ง 14.4 ล้านคะแนน มีส.ส.151 คน อีกฝ่าย 10.9 ล้านคะแนนมีส.ส.141 คน ปกติดการเมืองไทยหลังการเลือกตั้งพรรคการเมืองอันดับ 1 กับ พรรคการเมืองที่ได้อันดับ 2 ต่างก็เป็นคู่แข่งกันต้องช่วงชิงอำนาจระหว่างกัน ไม่มีหรอกที่จะมาจับมือซูเอี๋ยตั้งรัฐบาลด้วยกัน แม้จะอ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยขั้วเดียวกันแต่มนทางการเมืองสองพรรคก็สามารถแข่งขันก็ได้ เอาจริงเที่ยวนี้ที่เพื่อไทยแพ้ย่อยยับแบบเละเทะก็เพราะถูกก้าวไกลแย่งชิงมวลชนไปหมดนั้นแหละ ถ้าไม่โดนสงครามโซเชี่ยล ไม่โดนการบิดเบือน ไม่โดนกระแส เพื่อไทยก็คงได้เป็นรัฐบาลใสๆชนะการเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค.2566 ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน แต่เพราะก้าวไกลเจ้าเล่ห์เพทุบาย เข้าถึงมวลชนมีนโยบายที่แยบยลเข้าถึงลูกเด็กเล็กแดง วัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงาน แม้แต่คนแก่ ได้มากกว่าจึงคว้าพุงปลาไปกิน
แต่แม้ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้อำนาจไปครอบครองอย่างอัตโนมัติ เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่อง 1+1 เท่ากับ 2 แต่มันมีตัวแปรมีองค์ประกอบอื่นอีกมาก ดูอย่างตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติสิ ก่อนหน้านี้ถ้าย้อนไปหลังเลือกตั้ง ใครจะคิดว่าก้าวไกลกับเพื่อไทยจะงัดข้อกันขนาดนี้ ตอนนี้ต่อหน้าก็โอ้โลมปตะโลมว่ารักกันว่าแนบแน่นว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน แต่ลับหลังต่างถือมีดอยู่ข้างหลังพร้อมจ้วกแทงกันได้ทันที ถ้าสองพรรคจริงใจไม่จิงโจ้กันจริงๆ ป่านนี้ชื่อประธานสภาคนใหม่ต้องเป็น “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เรียบร้อยโรงเรียนฝ่ายส้มล้มเจ้าไปแล้ว แต่ประเทศไทยศักดิ์สิทธิ์แผ่นดินไทยมีพระสยามเทวาธิราช ปราถนาของฝ่ายส้มที่ต้องการได้ประธานสภาต่อยอดไปถึงการเสนอชื่อนายกฯอย่างพิธาจึงเหมือนบุญมีแต่กรรมบัง เพราะดันมีพรรคอันดับ 2 ฝ่ายแดงมาเป็นก้างขวางคอ 2 พรรคแม้วันนี้จะเป็นพันธมิตรต่อกัน แต่อนาคตวันข้างหน้าส้มกับแดงต้องแทงกันไส้แตกแน่นอน เพราะต่างช่วงชิงอำนาจ ต้องการเป็นใหญ่ในแผ่นดินเหมือนกัน แถมทั้งสองพรรคต่างก็มีมวลชนฐานเดียวกัน แม้ตอนนี้ฝ่ายแดงจะถูกส้มล้างสมองคนเสื้อแดงไปเป็น “ด้อมส้ม” จำนวนมาก แต่อนาคตเพื่อไทยก็ต้องหาทางตีคืนมวลชนของตัวเองกลับมาแน่นอน
ประเด็นประธานรัฐสภาล่าสุดมีแนวโน้มสูงยิ่งว่าสองพรรคจะไม่ยอมรอมชอมต่อกัน ก้าวไกลยืนยันดันหมออ๋องเป็นประธานสภา หวังเอาไปเป็นหัวหอกแก้กฎหมาย “แม่” อย่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นค่อยไปรื้อล้างกฎหมาย “ลูก” ที่เล็งๆไว้หลายฉบับ ม.112 ปฏิรูปกองทัพ เลือกตั้งผู้ว่าฯ ล้างบางตำรวจ จัดระเบียบศาล องค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรม แม้แต่ปฏิวัติการศึกษา ต้องนี้แหละคือภารกิจที่ส้มล้มเจ้าวางตัวหมออ๋องให้เข้าไปทำหน้าที่ “คอนดักเตอร์” เสมือนหนึ่งควบคุมการบรรเลงเพลงซึ่งก็เปรียบเหมือนการเปิดหน้ารื้อล้างทำลายกฎกมายเดิมๆที่เคยสืบทอดกันมา ทั้งๆที่ความจริงประธานสภาต้องวางตัวเป็นกลางต้องรักษาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย อาจมีปากว่าตาขยิบให้ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายตัวเองบ้างแต่ก็ต้องพองาม ต้องมีศิลปะ ที่สำคัญต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ แต่นี้อะไรแม้แต่พวกเดียวกันเองยังดักคอยังขัดขากันเอง ตัวหมออ๋องที่ถูกเสนอชื่อเป็นประธานสภาก็มีปัญหาเรื่องพูดจาก้าวล่วงพาดพิงสถาบันโดยเฉพาะในเรื่องการทุจริตในโครงการพระราชดำริ 4,700 โครงการ ทั้งตอนที่อยู่ในสภาและตอนหาเสียง 5 มี.ค.2566 ที่บ้านเกิดที่หมิ่นเหม่จาบจ้างสถาบันหลายเรื่องจนถูกศรีสุวรรณไปร้องเอาผิดกับกกต.
ไม่แค่นั้นในส่วนของเพื่อนส.ส.ด้วยกันก็มองว่าหมออ๋องไม่เหมาะที่จะเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ยกตัวอย่าง “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัล แกนนำพปชร. ก็มองว่า หมออ๋องตึงไปไม่เหมาะจะมาทำหน้าที่คนกลางในสภา ” จากที่มีข่าวและพรรคก้าวไกลเสนอชื่อ นายปดิพันธ์ ส่วนตัวเท่าที่ดูตึงๆไปนิดนึง เพราะบุคคลที่มีลักษณะความเป็นตัวตน เป็นตัวตึง หรือคนที่สู้ให้พรรคมากๆ แล้วมาเป็นประธานสภาก็จำเป็นต้องลดบทบาทลงไป เพราะตำแหน่งประธานสภาจะเป็นประธานที่ประชุม อันดับแรกจะต้องเป็นกลางและจะต้องประสานงานกับทุกพรรคการเมือง คนที่เป็นประธานสภาจะต้องประสานงานจึงจำเป็นต้องมีบารมีและต้องมีวุฒิภาวะที่จะคุยกับทุกพรรคได้ ก็ขอฝากให้คิดในเรื่องนี้ด้วยแล้วกัน ” ล่าสุดก็เป็น “เสี่ยตี๋” สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข แกนนำพรรคสีฟ้าที่ออกมาสะท้อนเรื่องนี้เช่นกัน ” เท่าที่ผมเคยสัมผัสพูดคุย และติดตามงานในสภาของ ท่านปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือ หมออ๋อง เพื่อน ส.ส.รุ่นน้อง ท่านเป็นคนหนุ่มที่มีความมั่นใจสูง เป็นตัวของตัวเอง มีความรู้ ความสามารถ พูดจา แสดงออกได้อย่างตรงไปตรงมา ท่านน่าจะทำงานได้ดีในตำแหน่งที่ต้องใช้การตัดสินใจ ความกล้าคิด กล้าทำ และโดดเด่นไม่เหมือนใคร ท่านน่าจะเหมาะสมกับงานบริหารงานในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งมากกว่า เขาไม่เหมาะกับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานรัฐสภา ประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติครับ”
อย่างไรก็ตามตำแหน่งประธานสภาล่าสุดก็ยังวุ่นไม่จบจริง เต็งหนึ่งหมออ๋องถูกเพื่อไทยสกัดถูกเพื่อนร่วมรัฐบาลกันเตะตัดขา เต็ง 2 อย่าง “พ่อมดดำ” สุชาติ ตันเจริญ อดีตรองประธานสภาหลายสมัย ล่าสุดมีข่าวเป็นเต็ง 1 ถูกเพื่อไทยวางตัวแย่งเก้าอี้ประธานสภากับหมออ๋อง แต่จะให้พลังประชารัฐเป็นคนเสนอชื่อสุชาติเพื่อแก้เกี้ยวแทน แต่ล่าสุดหลังต่างฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันละกัน เพื่อไทยชิงจังหวะเสนอทางออก ดูเหมือนจะไปจบที่คนกลางอย่างวันมูหะมัด นอร์มะทา อดีตประธานสภา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ตรงนี้น่าจะมีการคุยกันแล้วระดับหนึ่ง 2 พรรคยอมรับ เป็นอดีตประธานสภา เก๋าเกมส์ มีบารมี เป็นที่ยอมรับ ทุกอย่างน่าจะออกทางนี้ ถึงขนาดมดดำ “คชาภา” ออกมาโพสต์ขอบคุณพ่อสุชาติที่ยอมถอยเพื่อประชาธิปไตยได้เดินหน้าต่อ “พ่อ ภูมิใจนะที่พ่อ ยังเชื่อลูกคนนี้บ้าง หนูเชื่อบนเส้นทางประชาธิปไตย ยังสวยงามเสมอ ภูมิใจทีเป็นลูกพ่อ” ออกมุมนี้เพื่อไทยอาจได้แต้มต่อในตัวประธานสภามากกว่าก้าวไกล อย่าลืมว่าวันนอร์ นั้นคือคนของทักษิณ ประชาชาติก็คือพรรคสาขาของเพื่อไทยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้วันนอร์มาก็เหมือนเพื่อไทยส่งคนไปนั่งเป็นประธานสภาเอง งานนี้ 2 พรรคนัดแถลงข้อสรุปเรื่องนี้เวลา 20.00 น. โรงแรมแลงคาสเตอร์ ดูเหมือนตำแหน่งประธานสภาอาจจะจบแต่ตำแหน่งนายกฯ เชื่อว่า 2 พรรคฟัดกันมันส์แน่ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ยอมกันไม่ได้ เกมยังอีกยาวยังมีเรื่องให้ต้องลุ้นกันอีกเยอะ
//////////////////////////