“จตุพร” ถอดสมการโหวตนายกฯ เสนอ 3 ฝ่ายหาทางออก ส่อก่อวิกฤติเลือดนองท้องช้าง

“จตุพร” ถอดสมการโหวตนายกฯ เสนอ 3 ฝ่ายหาทางออก ส่อก่อวิกฤติเลือดนองท้องช้าง

เมื่อ 6 ก.ค. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “รอวันหัก?” โดยเชื่อว่า หากบางพรรคคิดแต่ฝ่ายเดียวมุ่งบรรลุแผนข้ามขั้วตั้งรัฐบาลกับบางพรรคฝ่ายข้างน้อย 188 เสียงแล้ว บ้านเมืองย่อมหนีไม่พ้นวิกฤตหายนะและการเผชิญหน้าสุ่มเสี่ยงเกิดเหตุการณ์เลือดนองท้องช้างค่อนข้างชัดเจน

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อตำแหน่งประธานสภาไม่มีความไม่มั่นคง ยังเปลี่ยนกันฉับพลันใน 2 วันสุดท้ายได้ จึงแสดงถึงทางการเมืองจะไว้ใจอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น การเลือกนายกฯ ย่อมพลิกเปลี่ยนได้เช่นกันใน 3 วิธี โดยวิธีแรกโหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เสียง 376 ซึ่งเป็นไปได้ยากยิ่งกับการหาเสียง ส.ว.มาหนุนช่วยได้

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ส่วนวิธีที่สองสั่งการให้งูเห่าหักดิบกันในการโหวตครั้งแรกครั้งเดียวไปเลย ไม่ต้องยืดเยื้อเพื่อป้องกันปัญหาลุกลามมาหักกันภายหลังได้อีก และวิธีที่สามฝ่ายข้างน้อย 188 เสียง ร่วมชิงนายกฯ ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แล้วค่อยกวาดต้อนเสียงให้เป็นข้างมากภายหลังได้

“ทุกวิธีนั้น ล้วนนำไปสู่การจบทางการเมืองทั้งสิ้น โดยวิธีแรกต้องได้เสียง 376 ย่อมเป็นไปได้ยากมาก นายพิธา ก็จบในโอกาสเป็นนายกฯ ส่วนวิธีที่สอง เมื่องูเห่าทำงานโหวตให้จบตั้งแต่ครั้งแรกแล้วคนจะออกมาเต็มถนนเช่นกัน และวิธีที่สามได้ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็จะจบตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงานด้วยซ้ำไป ดังนั้น ทั้งสามวิธีในการชิงนายกฯ ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ต้องดับเร็ว”

นายจตุพร เชื่อว่า ในสถานการณ์เลือกนายกฯ ขณะนี้ทุกฝ่ายล้วนขยับกันหมด หากแต่ละฝ่ายคุมตัวเองไม่ได้จะออกอาการรวน เกิดคิดผลีผลาม อย่างไรก็ตาม แม้บางพรรคจะพยายามวางแผนแต่งตัวข้ามขั้วได้ดีแค่ไหน เริ่มตั้งแต่ส่งนายพิธา ชิงนายกฯ ไปจนสุดทางแล้ว เมื่อไม่ได้ก็ไปถึงคิวอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หรือมาเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน แต่แคนดิเดตนายกฯ ทั้งหมดมีความน่าจะเป็นอย่างมากที่ไม่ผ่าน 376 เสียง

“จากนั้นจึงเข้าแผนการข้ามขั้วไปสู่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่สถานการณ์จะนำไปสู่วิกฤตอยู่ดี เพราะประชาชนจะทนไม่ได้ที่ถูกหลอกในช่วงหาเสียงที่ลั่นสัจจะวาจาไม่จับมือกับพวกยึดอำนาจหรือ พปชร. ดังนั้นการย้ายข้ามขั้วคือ การลากบ้านเมืองไปสู่หายนะอยู่ดี”

นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ปัดส่งพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคชิงนายกฯ และประกาศไม่สนับสนุนการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยด้วย ดังนั้น ในบรรดาแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลือจึงมองเห็นหน้าได้ชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตามอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่จะได้มากกว่า ไม่ใช่เรื่องการยึดมั่นอุดมการณ์

อีกทั้งเชื่อว่า การหักดิบทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเช่นกัน ในช่วงไม่ช้าก็เร็วนับต่อแต่นี้ไป ดังนั้น เมื่อการเมืองขึงเส้นแบ่งของแต่ละฝ่ายไว้อย่างสนิทแน่นแล้ว โอกาสจะหักชิงนายกฯ กันตั้งแต่วิธีแรกล้วนเป็นไปได้เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญทุกรูปแบบการหักดิบล้วนเกิดความเสียหายทั้งสิ้น

“การขึงเส้นแบ่งทางการเมืองนั้น พรรคก้าวไกลไม่เอาลุง ไม่สังฆกรรมกับกัญชา ไม่จับมือกับแมลงสาป อีกอย่างถ้าฝ่าย 312 เสียงจับมือกันเหนียวแน่นก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้อยู่ดี เพราะต้องได้เสียงจาก ส.ว.อย่างน้อย 64 เสียงมาสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ด้วย”

พร้อมคาดว่า ส่วนฝ่าย 188 เสียงข้างน้อย ยังไม่ถึงเวลาแสดงบทบาทจึงต้องนิ่ง แต่ในความนิ่งย่อมเกิดความคิดเช่นกัน อาการนิ่งอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ พล.อ.ประวิตร อาจเป็นการนิ่งคิดรอเอานายกฯ สำหรับ พล.อ.ประวิตร แล้ว ยิ่งนิ่งกลับยิ่งคิดเอานายกฯ แน่นอน

“ที่ผมไม่จี้ให้ ส.ว.มาช่วยฝ่าย 312 เสียงได้เป็นนายกฯนั้น เพราะไม่สามารถให้เสือมากินผักบุ้งได้ หรือบังคับสิงโตกินผัดผักกระเฉดไฟแดงได้เช่นกัน เนื่องจาก ส.ว.มาจากการตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์และขบวนการ 3 ป. ผ่านการคัดเลือกความเป็นพวก ไม่ได้ตั้งลวกๆ มาเป็น ผ่านการศึกษานิสัยใจคอของแต่ละคนที่ตั้งมาอย่างดีและละเอียด ดังนั้น ส.ว.จึงเข้าแถวตรงเป๊ะ วันโหวต พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ไม่มีแตกแถวสักคนเลย ลงมติครบ 249 คน ยกเว้นประธาน ส.ว.งดออกเสียงเท่านั้น”

นายจตุพร ยอมรับว่า การไปจี้ ส.ว.เหมือนการขวางนายสุชาติ เป็นประธานสภานั้น ทำได้ยากมาก เพราะ ส.ว.ไม่เหมือนคนโลเลมีจิตใจไม่มั่นคงอย่างทักษิณ ชินวัตร อีกอย่างเชื่อว่ามีการปล่อยข่าวกรณี ส.ว.รับประโยชน์ แต่ในความจริงแล้ว ส.ว.ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่หวั่นเกรงในข้อกฎหมายที่จะไม่ได้ใช้เงินมากกว่า โดยมีกรณีของคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เป็นตัวอย่างได้ชัดเจนกับการนำคดีเก่าตั้ง 20 ปีถูกงัดมาจัดการได้

อีกทั้ง กล่าวว่า การจี้ ส.ว.ให้เปลี่ยนใจนั้น ส.ว.ยากที่จะเลี้ยวกลับได้ แต่จี้บดบี้เอากับทักษิณแล้ว หากทำซ้ำๆ ย่อมมีโอกาสเลี้ยวได้ เพราะเป็นคนพร้อมที่จะเลี้ยวหนีได้ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าทั้งสามฝ่ายคือ ส.ว. ฝ่าย 312 เสียง และฝ่ายข้างน้อย 188 ล้วนเป็นคนจริงกัน ไม่แตกแถวไปหนุนฝ่ายใดแล้ว บ้านเมืองย่อมถึงทางตัน และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็อยู่รักษาการยาวไป

อย่างไรก็ตาม ความกดดันที่เกิดขึ้นจะเหลือคนจริงกันสักกี่คน ยิ่งกรณีนายสุชาติ เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจน อีกทั้งกรณีพยายามจะตั้งรัฐบาลข้ามขั้วย่อมรู้อยู่เต็มอกว่าเกิดความฉิบหายรออยู่ข้างหน้าแน่นอน

“ถ้าเป็นคนจริงและคิดได้แล้ว การข้ามขั้วต้องไม่ทำ ประเทศก็ไม่ต้องเสี่ยงกับความหายนะหรือเลือดนองท้องช้างเช่นกัน ที่ผมพูดมาทั้งหมด ดักหน้าแฉแผนเบื้องหลังเพราะไม่ต้องการให้หักหลังกันเพื่อไปตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนเลย ดังนั้นอย่าเอาแต่คิดอยู่ข้างเดียวกับการหาประโยชน์ แต่บ้านเมืองเสียหาย”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

แม่ค้าขนมครกโอดยอมกัดฟันสู้ หลังราคาน้ำกะทิขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 100 บาทแต่ยันขายขนมครกราคาเดิมกลัวลูกค้าหด
"นายกฯ" เผย ครม.อนุมัติ 2.5 พันล้าน ฟื้นฟูเกษตรกร หลังน้ำลด
หนุ่มขับรถกระบะไปส่งหมู หลับในขับรถพุ่งชนฟุตบาท พลิกคว่ำตีลังกาชนเสาไฟ ดับคารถพร้อมเพื่อนต่างด้าวที่นั่งมาด้วยกันเสียชีวิต 2 ศพ
ครม.ตั้ง “บิ๊กรอย” นั่งที่ปรึกษาภูมิธรรม “คารม-ศศิกานต์” เป็นรองโฆษกรบ.
พบแล้ว "สุสานหรู" ถูก "ซินแส" ใช้ลวงเหยื่อ ซื้อที่ดินต่อดวงชะตาชีวิต ก่อนสูญเงินกว่า 30 ล้านบาท
"นายกฯ" ลั่นไม่แทรกแซง หลังป.ป.ช.ขอเวชระเบียน "ทักษิณ"
ตร.แจ้งเอาผิด "พี่เลี้ยง"ทำร้ายเด็ก 5 ขวบ อ้างสั่งสอนเพราะดื้อ
เคาะวันแล้ว กกต. เปิดแผนงานเลือกตั้งนายก-สมาชิกอบจ.
"เคนโด้" นำ "กลุ่มผู้เสียหาย" ค้านประกันตัว "แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์" หวั่นคุกคามเหยื่อ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น