“ธาริต” ดิ้นหนัก ยื่นคำร้องที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา อ้างผู้พิพากษาฝักใฝ่กปปส. มีข้อโต้แย้งคดี 99 ศพ

"ธาริต" ดิ้นหนัก ยื่นคำร้องที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา อ้างผู้พิพากษาฝักใฝ่กปปส. มีข้อโต้แย้งคดี 99 ศพ

 

10 ก.ค. 2566 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 10 คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หมายเลขดำ อ.310/2556 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่1 – 4

 

 

 

 

ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 วรรคสอง กรณีนายธาริตกับพวกแจ้งข้อหาดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ฐานสั่งฆ่าประชาชน ในการสลายม็อบแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

 

ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษพวกจำเลยด้วย ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษากลับให้จำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา

 

 

 

จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา ต่อมาวันที่ 24 มี.ค.66 นายธาริต ได้ถอนคำให้การเดิมจากที่ให้การปฏิเสธ เป็นรับสารภาพ ไม่ต่อสู้คดี

 

โดยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายธาริต ไม่ได้มาศาลเพื่อฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาศาลฎีกาตามนัด มีเพียงทนายความมาแสดงใบรับรองแพทย์จาก รพ.พญาไท 2 ว่า นายธาริต มีอาการป่วยบ้านหมุน ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ จึงขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน ศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นควรส่งใบรับรองแพทย์ ของนายธาริต ให้ศาลฎีกาพิจารณา

 

ในวันเดียวกัน ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ใบรับรองแพทย์แต่ละครั้งของนายธาริต จำเลยที่ 1 มีลายเซ็นแพทย์ผู้ตรวจ ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้ศาลอาญาดำเนินการไต่สวนแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์ และการรักษาอาการป่วยของนายธาริตว่ามีอาการเจ็บป่วยจนไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ตามกำหนดนัดว่า ข้อเท็จจริงถูกต้องหรือไม่ เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา แล้วส่งผลการไต่สวนให้ศาลฎีกาพิจารณา และเลื่อนนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 10 ก.ค.นี้เวลา 09.00 น.

ข่าวที่น่าสนใจ

 

 

โดยวันนี้ นายธาริตเดินทางมาศาลอาญาโดยถึงเวลา 08.50 น. พร้อมทำเอกสารเเจกสื่อมวลชนที่รอทำข่าวอยู่หน้าศาลอาญา ความว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ศาลอาญาได้นัดอ่านในเช้าวันนี้ จะมีผลสำคัญอย่างใหญ่หลวงมาก ดังที่ข้าพเจ้าได้แถลงข่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 เพราะหากจะพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้วจะมีผลสำคัญมาก 3 ประการ คือ

 

1.จะเป็นการรับรองยืนยันหรือการันตีว่านายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และผู้ที่เกี่ยวข้องได้สั่งการให้ทหารใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 ไปยิงทำร้ายประชาชนโดยชอบแล้วทุกประการ

 

2.ผู้ตาย 99 ศพ ผู้บาดเจ็บ 2,000 กว่าคน และญาติผู้ตายจะไม่มีโอกาสได้รับความยุติธรรมและชดใช้ความเสียหายอีกเลย เพราะผลจากคำพิพากษาเช่นนั้นเท่ากับพิพากษาว่าเขาเป็นผู้สมควรตายและ

 

 

3.นายธาริต กับพวกพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้รักษากฎหมายจะกลายเป็นผู้ผิดต้องรับโทษจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

 

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมายในการแสวงหาความยุติธรรมให้กับ 99 ศพ และตัวข้าพเจ้าเองกับพนักงานสอบสวนที่ถูกฟ้องอย่างถึงที่สุด บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับทราบข้อมูลมาเป็นที่น่าเชื่อว่า ในการทำคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งยังไม่ได้อ่านคำพิพากษาและยังมีข้อโต้แย้งจากจำเลยคือข้าพเจ้าและญาติผู้ตายอยู่นั้น

 

มีผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวนหนึ่ง รวมถึงอดีตประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นองค์คณะและหรือเกี่ยวข้องเกี่ยวพันในการทำคำพิพากษามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่ม กปปส. ซึ่งมีนายสุเทพ โจทก์ที่ 2 ในคดีนี้ เป็นหัวหน้าหรือประธานกลุ่มกปปส. โดยเป็นฝักไฝ่และเป็นฝ่ายเดียวกัน ซึ่งขณะนี้ นายสุเทพ กับพวก กปปส. ก็ได้ยื่นฟ้องข้าพเจ้าต่อศาลอาญาคดีทุจริตกลางเป็นอีกคดีหนึ่งว่าที่ข้าพเจ้าดำเนินคดีกับนายสุเทพ และกลุ่ม กปปส. จนศาลอาญาลงโทษจำคุกไปมากว่า 10 คนนั้น เป็นเพราะถูกข้าพเจ้ากลั่นแกล้ง จึงน่าเชื่อว่าการทำคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีนี้จะไม่เป็นไปโดยถูกต้องและไม่เป็นธรรม

 

 

ฉะนั้นเมื่อ 08.30 น. ของวันนี้ ข้าพเจ้าจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา โต้แย้งคำคัดค้านองค์คณะและผู้เกี่ยวข้องซึ่งเป็นอดีตประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษาศาลฎีกาอีกจำนวนหนึ่งที่ได้ร่วมกันทำคำพิพากษา โดยขอให้ศาลอาญาส่งคำร้องนี้ไปยังศาลฎีกา เพื่อให้มีกระบวนการโดยรวมถึงประธานศาลฎีกาคนปัจจุบัน นำเอาการพิจารณาทำคำพิพากษาคดีนี้เข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา และไม่ว่าผลของคำพิพากษาศาลฎีกาที่จะได้พิพากษาโดยที่ประชุมใหญ่จะออกมาเป็นอย่างใด ข้าพเจ้าพร้อมจะยอมรับว่าได้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ตาย 99 ศพ และบาดเจ็บ 2,000 คน รวมถึงนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และข้าพเจ้าอย่างแท้จริง

 

และจากการที่ข้าพเจ้าได้ยื่นคำร้องคัดค้านผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ได้ทำคำพิพากษาดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงได้ยื่นคำร้องอีก 1 ฉบับ ขอให้บรรดาคำร้องที่สำคัญที่ได้มีการยื่นไว้ในคดีนี้คือ คำร้องของญาติผู้ตายขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่ 3 และคำร้องที่ข้าพเจ้าขอให้ศาลฎีกาส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า มาตรา 157 และมาตรา 200 แห่ง ป.อาญา ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญใช้บังคับลงโทษในคดีนี้ไม่ได้นั้น ข้าพเจ้าร้องคัดค้านและโต้แย้งว่า กลุ่มผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น จะพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวทุกฉบับไม่ได้ โดยข้าพเจ้าร้องขอให้ผู้ที่จะมีอำนาจหน้าที่พิจารณาและสั่งคำร้องทุกฉบับคือที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาเช่นกัน

 

การยื่นคำร้องคัดค้านโต้แย้งองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา อดีตประธานศาลฎีกา และผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวมานี้เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งมีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 3818/2533 วางบรรทัดฐานรับรองและคุ้มครองสิทธิให้กระทำได้ และไม่เป็นการละเมิดอำนาจศาล

 

ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมขององค์กรศาลยุติธรรมในภาพรวมและเชื่อว่าศาลอาญาจะได้ส่งคำร้องขอทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวที่ข้าพเจ้าได้ยื่นในเช้านี้ไปยังศาลฎีกาและทางศาลฎีกาจะได้มีกระบวนการพิจารณาคำร้องขอของข้าพเจ้าอย่างเป็นธรรม โดยท่านประธานศาลฎีกาท่านปัจจุบันจะได้เห็นชอบให้ การทำคำพิพากษาและการพิจารณาสั่งคำร้องทุกเรื่องได้เข้าสู่การพิจารณาและจัดทำโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต่อไป

 

นายธาริต ยังกล่าวถึงกรณีที่นายราเมศ รัตนเชวง รักษาการโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ออกมาดิสเครดิตตนว่าดำเนินคดีกับ นปช.ว่าผิด แล้วจะดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพได้อย่างไรนั้นว่า เรื่องนี้ได้ชี้แจงแล้วว่า คดีนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน กรณีของ นปช. ที่เข้าไปในเรดโซนมีความผิดก็ถูกดำเนินคดี ส่วนคนที่ใช้อำนาจ ศอฉ. สั่งให้เอาอาวุธไปยิงประชาชนในเรดโซนก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน

 

“นายราเมศและนิพิฎฐ์ เป็นผู้ใหญ่เป็นนักกฎหมายคนสำคัญของพรรค มาพูดแบบนี้ถือว่าโกหกและไม่เคารพการตาย 99 ศพและบาดเจ็บ 2 พันคน ใครกันแน่ที่เลอะเลือน ส่วนที่ศาลยกฟ้องอภิสิทธิ์และสุเทพทั้ง 3 ศาล ก็ไม่ได้บอกว่าทั้ง 2 คนไม่ผิดในการสั่งยิง แต่บอกว่าให้ย้อนกลับไปไต่สวนสอบสวนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติก่อนมาฟ้องศาลใหม่ ตรงนี้สำคัญมาก ไม่เคยมีศาลใดพิสูจน์เลยว่าทั้ง 2 คนสั่งทหารใช้กำลังยิงประชาชนถูกต้อง”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

แตกตื่นทั้งวอร์ด! หามผู้ป่วยพม่าติดโรคห่า 1 ราย ข้ามแดน ส่ง รพ.แม่สอด
ซีพีเอฟ ประมงเพชรบุรี และเรือนจำกลางเพชรบุรี นำภูมิปัญญาท้องถิ่นทำน้ำปลาจากปลาหมอคางดำ ตรา “หับเผย เขากลิ้ง”
หน่อยยลดา มั่นใจ 4 ปี ผลงานเข้าถึงใจ พี่น้องประชาชน ย้ำอีก4 ปี ผลงานที่ค้างจะเดินหน้าก้าว ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
DSI ส่งสำนวนฟ้องคดี "ดิไอคอน" 3.4 แสนแผ่น ยึดทรัพย์สินได้ 747 ล้าน จ่อเอาผิดกลุ่มแม่ข่ายเพิ่ม
‘ทักษิณ’ ถึงเชียงใหม่ กินก๋วยเตี๋ยวร้านดัง เตรียมพร้อมขึ้นปราศรัยช่วยผู้สมัครนายกอบจ. เพื่อไทย เย็นนี้
กรมส่งเสริมสหกรณ์ ขนสินค้าดีมีคุณภาพจากสหกรณ์มาจำหน่ายสู่ผู้บริโภค พบกันในงาน “Co-op Market Fair พลังสหกรณ์ ขับเคลื่อนสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น By ร้านสหกรณ์เทเวศร์ จำกัด”
เปิด 10 ฉายาดารา ปี 67 "แน็ก ชาลี -เจนี่-นาย-ใบเฟิร์น" มาครบ " หนุ่ม กรรชัย" พีกสุด
"เท้ง ณัฐพงษ์" ข้องใจ ปมกกต. ฟันอาญา สส.ชลบุรี พรรคปชน. แจ้งบัญชีใช้จ่ายเท็จ โวยกลั่นแกล้งการเมือง แค่ข้อหาเล็กน้อย
รวบหนุ่มมะกันเผาผู้โดยสารหญิงในซับเวย์นิวยอร์ก
"นายกฯ" ไม่โกรธฉายาครม.ปี 67 มองเป็นสีสัน ลั่น "รัฐบาลพ่อเลี้ยง" ก็ดีช่วยทำงาน เพราะพ่อมีประสบการณ์

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น