เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 66 รศ.คมสัน โพธิ์คง รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Komsarn Pokong” ระบุว่า การเสนอชื่อเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เสนอคนเดิมได้กี่รอบ
เมื่อสองสามวันก่อน มีน้องที่ทำงานในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้สอบถามมาว่า การพิจารณาตั้งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๒ ประกอบมาตรา ๑๕๙ เป็นญัตติหรือไม่ ทั้งนี้เพราะเขาบอกว่ามีการโต้เถียงกันไม่เป็นที่ยุติว่า หากรัฐสภาไม่เห็นชอบให้กับผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใด จะเสนอชื่อบุคคลนั้นได้กี่รอบ บางคนก็เห็นว่าทำได้หลายรอบ บางคนเห็นว่าเป็นญัตติทำได้ครั้งเดียว
ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญไม่เช่นนั้นอาจเห็นภาพที่มีการลงมติคนเพียงคนเดียวยืดเยื้อกันจนสมาชิกวุฒิสภาหมดวาระในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ เกิดขึ้นได้ และก็จะทำให้ลุงตู่รักษาการอยู่จนถึงปีหน้า เพื่อที่จะให้เป็นไปตามความประสงค์ของพรรคการเมืองบางพรรคที่ต้องการให้การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีกระทำเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น ซึ่งหากเกิดเหตุขึ้นก็จะเป็นการไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ (ผมลงประชามติไม่รับ) เพราะมาตรา ๒๗๒ บัญญัติไว้ว่า
“มาตรา ๒๗๒ ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๕๙ เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๕๙ วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
ในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ในกรณีเช่นนั้น ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ หรือไม่ก็ได้”
บทเฉพาะกาลตามบทบัญญัติมาตรา ๒๗๒ ดังกล่าวหากจะพิจารณาก็จะพบว่ามีการวางหลักการสำคัญเป็นสองส่วนคือ
๑. การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วงห้าปีแรกของการใช้รัฐธรรมนูญ
ในมาตรา ๒๗๒ วรรคหนึ่งวางหลักการสำคัญไว้ ๓ ประการคือ
๑) การให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี ในช่วงห้าปีแรกของการใช้รัฐธรรมนูญ ให้กระทำโดยรัฐสภา และใช้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา
๒) ผู้ได้รับการเสนอชื่อต้องบุคคลตามบัญชีรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองยื่นไว้ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา ๘๘
๓) มติในการให้ความเห็นชอบบุคคลให้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของทั้งสองสภา คือต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า ๓๗๖ เสียงจากสมาชิกทั้งหมดของทั้งสองสภารวมกัน(๗๕๐ คน)
๒. การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วงห้าปีแรกของการใช้รัฐธรรมนูญกรณีที่ไม่สามารถเลือกจากบุคคลที่มีชื่อในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้
ในมาตรา ๒๗๒ วรรคสองวางหลักการสำคัญในช่วงเวลาห้าปีแรกของใช้รัฐธรรมนูญและมีกรณีที่ไม่สามารถเลือกบุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองตามมาตรา ๘๘ ได้ มีการวางหลักการสำคัญไว้ ๓ ประการ ดังนี้
๑) การโหวตเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองตามมาตรา ๘๘ ไม่สามารถกระทำได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ เช่น การได้รับคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา การขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี หรือการเจ็บป่วยร้ายแรงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นต้น
๒) ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน เมื่อมีสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘
๓) รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดำเนินการตามมาตรา ๒๗๒ วรรคหนึ่งต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ หรือไม่ก็ได้
เมื่อพิจารณาจากหลักการสำคัญดังกล่าวตามมาตรา ๒๗๒ ดังกล่าวแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า มาตรา ๒๗๒ วรรคสองวางหลักการให้การโหวตครั้งแรกแล้วไม่ได้บุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ประธานรัฐสภาไม่สามารถเปิดให้มีการลงคะแนนเลือกใหม่ได้เอง แต่ต้องรอให้มีสมาชิกรัฐสภารวมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสองสภาเข้าชื่อกันประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ และรัฐสภาต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ และก็จะดำเนินการเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไปตามมาตรา ๒๗๒ วรรคหนึ่ง และในคราวนี้อาจเลือกบุคคลผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ หรือไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ก็ได้ ดังนั้น โดยเจตนารมณ์ของมาตรา ๒๗๒ ดังกล่าว จึงอาจตีความได้ว่า การลงมติเพื่อเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่กระทำครั้งแรกในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๖ หากผู้ถูกเสนอชื่อในครั้งนั้นไม่ได้คะแนนเสียงถึงกึ่งหนึ่งคือ ๓๗๖ เสียงของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดแล้ว การเลือกบุคคลนั้นก็จะสิ้นสุดลงและต้องถือเป็นเงื่อนไขที่เข้าเหตุที่ไม่สามารถเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้ และต้องมีการดำเนินการตามมาตรา ๒๗๒ วรรคสองทันที
การดำเนินการในครั้งที่สอง ตามมาตรา ๒๗๒ วรรคสอง ซึ่งเป็นการจะเสนอชื่อบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งใหม่นี้จะมีเงื่อนไขว่าจะเลือกบุคคลในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองตามมาตรา ๘๘ หรือไม่ก็ได้ ซึ่งประธานรัฐสภาต้องรอการเสนอให้มีการโหวตครั้งใหม่โดยต้องมีสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อกัน และต้องมีมติให้มีการดำเนินการครั้งต่อไปในเงื่อนไขสำหรับการเสนอชื่อผู้ที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองตามมาตรา ๘๘ ตามมาตรา ๒๗๒ วรรคสองได้ ในจำนวนคะแนนเสียงถึงสองในสามของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด(๕๐๐ เสียงขึ้นไป) จึงจะดำเนินการครั้งที่สองได้และในครั้งนี้สามารถเสนอชื่อบุคคลให้เลือกเป็นนายกรัฐมนตรีตามวิธีการตามมาตรา ๒๗๒ วรรคหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองตามมาตรา ๘๘ เข้ารับการเลือกและแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ หรือจะเลือกบุคคลในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองตามมาตรา ๘๘ ก็ได้ โดยการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งที่สองนี้ยังต้องอาศัยคะแนนเสียงตามมาตรา ๒๗๒ วรรคหนึ่ง คือเกินกึ่งหนึ่งของ จำนวนสมาชิกสภาทั้งสองรวมกัน คือต้องได้ไม่น้อยกว่า ๓๗๖ เสียง จึงจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี