"พิธา" ตกสวรรค์หมดสิทธิเป็นนายกฯ เชื่อพุธนี้โหวตไม่มีพลิก "ก้าวไกล" ส่อล้มทั้งกระดาน พร้อมเปิดสูตรเพื่อไทยพลิกเกมตั้งรัฐบาลถีบพรรคส้มเป็นฝ่ายค้าน เผยนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อาจตกอยู่ในมือ "อนุทิน" พรรคอันดับสาม

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจนถึงขนาดฟ้าถล่มดินทลายน่าเชื่อว่า เส้นทางการเป็นนายกรัฐมนตรีของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล รวมถึงการเป็นรัฐบาลของ “พรรคก้าวไกล” น่าจะปิดฉากแบบถาวรแล้ว ไม่ว่า การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 19 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ หัวหน้าพรรคก้าวไกลจะได้รับสิทธิการเสนอชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ปลายทางสุดท้าย คำตอบเดียวกัน คือ “พิธา” จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีล้านเปอร์เซ็นต์

“สนิมเกิดจากเนื้อในตน” เฉกเช่นเดียวกับ “ก้าวไกล”ที่ตลอดเวลาพยายามสร้างความแตกแยกให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะนโยบายสุดโต่งต่าง ๆ อาทิ การแก้ไขมาตรา 112, การปฏิรูปกองทัพ, การยกเลิกกฎอัยการศึก หรือแม้กระทั่งการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ฯลฯ ซึ่งทุกนโยบายถือเป็นการทำลายเสาหลักที่ค้ำจุนประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ให้พังทลายลงมา

ทั้งนี้จากบริบทดังกล่าว อาจกล่าวได้ว่า การล่มสลายของ “พิธา” ไม่ได้เกิดจากตัวบุคคล แต่เป็นเพราะนโยบายร้ายลึกของก้าวไกลที่ไม่น่าจะเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และด้วยเหตุผลเหล่านี้ต่างหากจึงทำให้ ส.ว.ไม่สามารถร่วมสังฆกรรมโหวตให้ “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรี

ดังนั้นคำถามจึงกลับมาที่ “เพื่อไทย” ในฐานะพรรคการเมืองอันดับสองว่า จะตัดสินใจอย่างไร.. และด้วยสถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้มีความเป็นไปได้ว่า เพื่อไทยไม่น่าจะอยู่ร่วมหัวจมท้ายไปกับก้าวไกลจนถึงนาทีสุดท้าย โดยทางออกสวย ๆ คือสลัดก้าวไกลออกไปเป็นฝ่ายค้านโดยไปจับขั้วกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม และพรรคพันธมิตรที่ประกอบไปด้วย เพื่อไทย (141 เสียง) ภูมิใจไทย (71 เสียง) พลังประชารัฐ (40 เสียง) รวมไทยสร้างชาติ (36 เสียง) ชาติไทยพัฒนา (10 เสียง) ชาติพัฒนากล้า (2 เสียง ) พรรคประชาชาติ (9 เสียง) พรรคเพื่อไทรวมพลัง ( 2 เสียง) และพรรคเสรีรวมไทย (1 เสียง) จัดตั้งรัฐบาล 312 เสียง

ข่าวที่น่าสนใจ

สำหรับสูตรการเมืองนี้มีความเป็นไปได้ที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจจะตกเป็นของ “อุ๊งอิ๊ง” แพรทองธาร ชินวัตร หรือ “เศรษฐา ทวีสิน” ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอาจไม่ตอบโจทย์ในสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ อีกทั้งยังมี ส.ส.ในมือแค่ 40 ที่นั่งเท่านั้น แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสข่าวเรื่อง พล.อ.ประวิตร มาอย่างต่อเนื่องก็ตาม

อย่างไรก็ตามแม้การจัดตั้งรัฐบาลตามสูตรดังกล่าวจะเป็นเรื่องสมเหตุผลกับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ แต่ในอีกทางนึงอาจเป็นเรื่องลำบากใจให้กับพรรคเพื่อไทยต้องคิดหนักในอนาคต โดยเฉพาะการผิดสัญญาด้วยการโดดเดี่ยวก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านอาจถูกกองเชียร์ด้อมส้มตามราวีไม่เลิกราทั้งการลงถนน และทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งตรงนี้อาจมีผลกระทบต่อการพา “ทักษิณ ชินวัตร” กลับบ้านในภายภาคหน้า โดยเฉพาะสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลย่อมเป็นเป้ากระสุนตกถูกโจมตีของมวลชนชาวด้อมส้มอย่างต่อเนื่องอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ด้วยปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้ “เพื่อไทย” จำเป็นต้องพลิกเกมด้วยการสวมบทบาท “พรรคการเมืองผู้มีสปิริต” โดยอ้างว่า เมื่อไม่สามารถช่วยก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จตามเอ็มโอยูที่เซ็นร่วมกันมา จึงขอสละสิทธิในฐานะพรรคอันดับสองในการจัดตั้งรัฐบาล และเปิดโอกาสให้พรรคอันดับสาม คือ “ภูมิใจไทย” จัดตั้งรัฐบาล

เป็นเกมตัดจบ “เพื่อไทย”และ “ก้าวไกล” แบบสวย ๆ และเมื่อภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูร ถือธงจัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคอันดับสาม และไม่ว่าจะจัดสูตรใดก็ตามต้องมี “เพื่อไทย” ร่วมอยู่ในขบวนด้วยหากภูมิใจไทยต้องการจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในสภา ดังนั้นสูตรการเมืองนี้จึงเป็นสูตรสำเร็จที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเช่นกัน อีกทั้งเมื่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตกเป็นของเสี่ยหนู “อนุทิน” แรกกดดันทางการเมืองต่าง ๆ จะตกไปอยู่นายกรัฐมนตรีมากกว่าใคร ซึ่งการพา “ทักษิณ” กลับบ้านน่าจะเป็นหนทางที่สะดวกกว่าการที่เพื่อไทยเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งยังไม่เสียสัตยาบันในการถีบ ”ก้าวไกล” ตกเป็นฝ่ายค้านอย่างเลือดเย็นก็ตาม…!