“จตุพร” ฟันธงอนาคต “ก้าวไกล” ถูกเพื่อนทิ้งแลกหาประโยชน์ ย้ายขั้วโหวตผ่านเป็นนายกฯ

“จตุพร” ฟันธงอนาคต “ก้าวไกล” ถูกเพื่อนทิ้งแลกหาประโยชน์ ย้ายขั้วโหวตผ่านเป็นนายกฯ

เมื่อ 19 ก.ค. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “จบยก 1” ระบุว่า เมื่อถึงคิวพรรคเพื่อไทยโหวตนายกฯ ในยกที่สอง นายเศรษฐา ทวีสิน คาดถูกเสนอเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนแรก หากยังมีจุดยืนจับมือกับพรรคก้าวไกลเหนียวแน่น ไม่ทอดทิ้งกัน ผลลัพธ์ออกมาย่อมไม่ผ่านเสียง 376 เช่นกัน เพราะพรรคฝ่าย 188 เสียงกับ ส.ว.จะไม่สนับสนุน

นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลนั้น ถือว่าเส้นทางสู่นายกฯ จบลงบริบูรณ์แล้ว แต่เขาลุกยืนขึ้นประกาศถอนตัวกลางห้องประชุมรัฐสภาอย่างสง่างาม ดังนั้น การโหวตนายกฯ ครั้งใหม่ฝ่าย 8 พรรค 312 เสียงจึงเลือกเสียงสนับสนุนเพียง 310 เสียงเท่านั้น เพราะนายพิธา ถูกศาล รธน. สั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ ส.ส. ตั้งแต่ 19 ก.ค.จนกว่าการวินิจฉัยกรณีถือหุ้นไอทีวีเสร็จสิ้น ขณะที่นายมูหะหมัดนอร์ มะทา ต้องรักษามารยาทเป็นประธานรัฐสภา ต้องงดออกเสียง

อย่างไรก็ตาม นายวันนอร์มะทา นัดประชุมโหวตนายกฯ ครั้งใหม่ในวันที่ 27 ก.ค. นี้ สิ่งสำคัญ เมื่อฝ่าย 8 พรรคเหลือเสียง 310 เสียง ประกอบกับกติกาตาม รธน.บทเฉพาะกาล ม. 272 เป็นอุปสรรค จึงไม่มีทางอื่นใด นอกจากการข้ามขั้วไปจับมือกับฝ่าย 188 เสียง หรือหาเสียงจาก ส.ว.มาเพิ่มอีก 66 เสียง เพื่อหนุนให้นายเศรษฐา โหวตผ่านจำนวน 376 เสียง ได้เป็นนายกฯ แต่ความน่าจะเป็นยังยากลำบากอยู่ดี

อีกทั้ง เห็นว่า อุปสรรคเพื่อไทย คือพรรคฝ่าย 188 เสียงและ ส.ว.มีเงื่อนไขไม่เอาพรรคก้าวไกล ปัญหาจึงอยู่ว่า ถ้านายเศรษฐา อยากได้เสียงโหวตแล้ว จะต้องทิ้งเพื่อนหรือเปล่า? ถ้าเลือกทิ้งเพื่อนไปเป็นผู้ปกครองประเทศ ย่อมเป็นพฤติกรรมที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

“ถ้านายเศรษฐา มีจุดยืนลักษณะเดียวกับพรรคก้าวไกล (คือ มีลุง ไม่มีเรา หรือไม่ข้ามขั้วจับมือกับพรรคสืบทอดอำนาจรัฐประหาร) แล้ว ต้องกล้าแพ้ร่วมเป็นร่วมตายกับเพื่อน เพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ แต่หากเลือกเอาชนะย่อมไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ ซึ่งจะมีประโยชน์อะไร เพราะการข้ามขั้วเป็นหนทางการเอาตัวรอดขั้นพื้นฐานแบบไม่ฉลาดของมนุษย์”

นายจตุพร เสนอว่า ตำแหน่งนายกฯ ต้องมีเกียรติ เมื่อเพื่อไทยตกลงร่วมทางเดินกับ 8 พรรคและมีจุดยืนไม่จับมือกับฝ่ายยึดอำนาจ โดยเฉพาะพลังประชารัฐกับพรรครวมไทยสร้างชาติ คงต้องยึดเป็นสัจจะวาจาให้มั่นคงไว้

รวมทั้ง หากเลี่ยงไปดึงพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มาร่วมคงยากอีก เพราะต้องผ่านความเห็นชอบของนายชวน หลีกภัย ผู้นำจิตวิญญาณของ ปชป. ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ได้อยู่ที่ความเป็น “ศิลปอาชา” เห็นชอบอย่างเดียว แต่มีเงาอยู่ข้างหลังจะตัดสินใจมาร่วมกันหรือไม่ด้วย หรือทุ่มเทหาเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ก็ไม่ง่ายอีกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การโหวตนายกฯ ยกสองจึงไม่ได้ง่ายกับเพื่อไทยเลย ยิ่งทุกกลไกรัฐและพรรคการเมืองอีกฝ่าย ล้วนต่อสู้กับ “ระบอบทักษิณ” มาอย่างเข้มข้น เพียงแต่ยกแรกต้องทำลายก้าวไกลก่อนเนื่องจากแหกโค้งชนะเลือกตั้งมาเป็นที่หนึ่ง เมื่อทำสำเร็จแล้ว จึงมาถึงขจัดเพื่อไทย ซึ่งเป็นเงื่อนไขการต่อสู้หลักของฝ่ายตรงข้าม

นายจตุพร ประเมินว่า หากนายเศรษฐา ไม่ผ่านการโหวตเป็นนายกฯ แล้ว เมื่อถึงคิวเสนออุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ ชินวัตร จะเป็นเรื่องใหญ่อย่างน่าหวั่นวิตกกังวลสูงถึงขั้นระบอบทักษิณต้องถึงคราวฉิบหายกันไปเลย

ข่าวที่น่าสนใจ

“เมื่อถึงคราวอุ๊งอิ๊งโหวตเป็นนายกฯ แล้ว ผมเชื่อว่า ส.ว.จะโหวตให้ผ่าน 376 เสียง เท่ากับเสียงโหวตเหมือนเป็นการวางดอกไม้จันทน์เลย เพื่อจะได้ทำให้จบในคราวเดียว เพราะเป็นคนสุดท้ายของตระกูลชินในทางการเมือง อีกทั้งจะไม่มีโอกาสบริหารด้วย ดังนั้น เมื่อเดินมาติดกับดักผู้คนจะแห่ออกมาต่อต้านทั้งบ้านเมือง แล้วจะถูกปิดจ๊อบทันที”

นายจตุพร กล่าวว่า ถึงที่สุดแล้ว แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยต้องได้รับเสียงและไปจับมือข้ามขั้วเท่านั้นจึงจะผ่าน 376 เสียง เพราะจะได้เสียงจากฝ่าย 188 มาเทให้เป็นหลักประกัน ดังนั้น นายเศรษฐา เป็นกลงทุนที่คิดหากำไร พยายามหนีการขาดทุน ล้วนมีหลักคิดไม่เดินไปหาความเสี่ยง ซึ่งทางการเมืองการลงทุนในตำแหน่งนายกฯ ย่อมไม่แตกต่างกัน

ส่วนสูตรที่ก้าวไกลยอมเทเสียงโหวตให้เพื่อไทยเป็นนายกฯ แต่ไม่ร่วมรัฐบาลนั้น นายจตุพร มั่นใจว่า คงเป็นไปไม่ได้กับความคิดแบบตีโง่ๆ ในทางการเมืองส่งเพื่อนไปตั้งรัฐบาลเช่นนี้ ขณะที่เมื่อโหวตแล้วยังมีก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วย จึงเป็นเงื่อนไขไม่ให้พรรคฝ่าย 188 เสียงมาร่วม โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย กับ ปชป. ล้วนติดปัญหาก้าวไกลทั้งสิ้น

สิ่งสำคัญ นายจตุพร ย้ำว่า ฝ่าย 8 พรรค 312 เสียง (เหลืออยู่ 310 เสียง) เมื่อจับมือกันแล้ว ต้องอยู่ด้วยกันอย่างเหนียวแน่นเป็นข้าวต้มมัดไม่แยกจากกัน และต้องไม่มีการตระบัดสัตย์แอบไปจับมือกับพรรคลุง เมื่อเป็นเช่นนี้ การเมืองย่อมถึงทางตัน จากนั้นจะถึงเวลาของประชาชนและประเทศได้เริ่มต้นนับหนึ่ง เพื่อจัดการแก้ไขอุปสรรคที่เป็นปัญหาการพัฒนาบ้านเมือง

“อะไรที่เป็นปัญหาก็ต้องจัดการ รธน. 2560 เป็นปัญหาก็แก้ไขใหม่ ความเหลื่อมล้ำด้านพลังงานต้องสะสาง เรื่องที่ดินหรือทรัพยากรของชาติ ต้องจัดสรรด้วยความเป้นธรรมเท่าเทียม ดังนั้นทุกปัญหาต้องถูกหยิบยกมาเป็นวาระแห่งชาติเพื่อร่วมหารือขจัดอุปสรรค เพื่อประเทศจะได้เริ่มนับหนึ่งกันเสียที”

นายจตุพร เชื่อว่า หากเพื่อไทยแยกขั้วเพื่อเร่งตั้งรัฐบาลแล้ว จะถูกกวาดทั้งกระดานด้วยการยึดอำนาจอีก เนื่องจากเงื่อนไขประชาชนชุมนุมบนถนนถ้าเกิดปะทะกันรุนแรง ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องนิ่งอยู่กับที่ คือ ฝ่าย 312 เสียง ฝ่าย 188 เสียง และ ส.ว. ต้องยึดมั่นจุดยืนไม่โหวตให้ใคร และไม่มีฝ่ายใดย้ายข้างสลับขั้ว สิ่งนี้จะเป็นทางไปสู่การนับหนึ่งประเทศได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

 


วันนี้ Shopee จัดโปรโมชั่น Fashion & Beauty Super Brand Day ลดสูงสุด 80%

มีทั้ง Downy, Oral-B, Olay และ Head&shoulders

คลิกเพื่อช้อปได้ที่นี่ : https://omgrefer.com/3ZYYv

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น