ล่องจุ๊นหมดลุ้นเป็นนายกฯประวัติศาสตร์คนที่ 30 ไปแล้วสำหรับ “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล หลังวานนี้ (19 ก.ค.2566) ถูกเสียงส่วนใหญ่จากสองสภาเบรกญัตติเสนอโหวตเป็นนายกฯ ครั้งที่ 2 ซึ่งรอบนี้สุทิน คลังแสง รองหัวหน้าเพื่อไทยเป็นคนเสนอ แต่ถูกอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.รวมไทยสร้างชาติออกมาเบรกด้วยการเสนอญัตติว่าการเสนอชื่อนายพิธาเพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาเป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ อีกครั้ง ถือเป็นการนำญัตติที่ตกไปแล้วขึ้นมาเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน ต้องห้ามตามข้อบังคับรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 หรือไม่ งานนี้เสียงส่วนใหญ่ 395 เห็นด้วยว่าญัตติเสนอพิธาตกไปแล้วไม่สามารถเสนอกลับมาโหวตได้ใหม่ ขณะที่ 317 เสียงไม่เห็นด้วยกับญัตติและเห็นว่ายังสามารถโหวตพิธาได้ งานนี้พิธาแพ้โหวตหมดโอกาสขึ้นเวทีในยกที่ 2 แบบไม่มีโอกาสอยู่ในสภาได้ลุ้นอนาคตของตัวเองเลย
เพราะเหตุที่ก่อนหน้าการลงมติในช่วงเที่ยง ปรากฎว่าศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ ม. 82 ว่าสมาชิกภาพส.สของพิธา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ม. 101 (6) ประกอบ ม. 98 (3) หรือไม่ จากกรณีมีชื่อถือครองหุ้น ไอทีวี 42,000 หุ้น โดยศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ม. 82 วรรคสี่ ประกอบวรรคหนึ่ง และ พ.ร.ปว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 ม. 75 นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 สั่งให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตั้งแต่วานนี้เป็นต้นไป ส่งผลให้พิธาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ในทันทีและต้องออกจากห้องประชุมไปก่อนที่จะมีการลงมติในตอนเย็น ฉากการเดินออกจากสภาของพิธาวานนี้ ที่มีส.ส.เข้ามารุมเร้าและปรับมือให้กำลังใจดังทั่วสภา เสมือนเป็นการรีเพลย์ภาพที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เคยประสบเมื่อปี 2562 ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่กรณีถือหุ้นวีลัค พิธาก็เดินตามรอยลูกพี่ถูกอัปเปหิออกจากสภาระหว่างโหวตนายกฯเหมือนกัน แถมสุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝั่งฟันเหมือนกันเพราะสิ้นสุดทางเลื่อนในการลุ้นเป็นนายกฯแต่เพียงแค่นี้
พิธาถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส. ต่อด้วยหลุดวงโคจรลุ้นเป็นนายกฯ ตรงนี้บอกฝ่ายส้มล้มเจ้าไว้เลยที่พิธาเจอแค่ 2 ด่านนั้นแค่น้ำจิ้มแค่บันไดขั้นแรกขั้นสองเท่านั้น ยังมีบันไดแห่งความทุกข์และวิบากกรรมอีกมากที่พิธาต้องเผชิญหลังจากนี้ เอาที่เข้าสู่กระบวนการแล้วก็ยาวเป็นหางว่าว เรื่องแรกคดีถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น พิธามีเวลาส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าว 15 วัน หลังจากนั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่าข้อมูลแวดล้อมทั้งหมดเพียงพอต่อการวินิจฉัยหรือไม่ ถ้าไม่พอก็เรียกข้อมูลต่อแต่ถ้าพอก็ตัดสินได้เลย ถ้าพิธาถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าขาดคุณสมบัติส.ส.เพราะถือหุ้นสื่อ ตรงนี้บอกเลยว่าน้ำบานเพราะคดีนี้จะกลายเป็น “หัวเชื้อ” ที่จะนำไปสู่การเอาผิดพิธาในคดีอื่นๆอีก อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้พิธาเคยถูกกกต.สั่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 ม.151 กรณีมีเหตุรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งแต่ยังฝ่าฝืนไปสมัคร งานนี้ต้องบอกเลยว่าถ้าสอบสวนแล้วพบว่าพิธามีความผิดตาม ม.151 ที่ระบุว่า ” ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และ ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ” พิธาจะต้องรับโทษกันอ้วกแตก อาจถูกปรับอาจติดคุก หนำซ้ำการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปีก็แทบจะปิดโอกาสบนถนนสายการเมืองไปโดยปริยาย
นอกเหนือไปจากคดีถือหุ้นสื่อแล้ว พิธายังมีคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องกรณี ธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายพุทธอิสระ ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ ม. 49 ว่าการกระทำของพิธาและพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ… เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ม. 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และ ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ ม. 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ พร้อมให้พิธาและก้าวไกลชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นี่ก็เป็นอีกคดีที่พิธากับก้าวไกลต้องลุ้นหนักเหมือนกัน เพราะเป็นคดีใหญ่คดีสำคัญ อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ในอดีตศาลรัฐธรรมนูญเคยพิพากษาคดีที่เป็นแนวเรื่องนี้มาแล้ว กรณีการชุมนุมและปราศรัยเมื่อ 10 ส.ค. พ.ศ. 2563 ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต ซึ่งมี อานนท์ นำภา ภาณุพงศ์ จาดนอก และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล โดยศาลวินิจฉัยการชุมนุมในครั้งนั้นว่า ” เป็นการกระทำที่มีเจตนาทำลายล้างสถาบันกษัตริย์โดยชัดแจ้ง และเป็นการเซาะกร่อนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตรงนี้แหละที่พิธาและก้าวไกล อาจต้องหนาวแน่ๆและมีโอกาสกับบ้านเก่าสูงหากถูกพิสูจน์ได้ว่ามีความพยายามจะดำเนินการอย่างนั้นเพื่อล้มเจ้าทำงานการปกครองจริงๆ
วิบากกรรมของพิธาไม่ได้เกิดกับตัวเขาแค่คนเดียว อนาตเป็นนายกฯไม่ได้ เป็นผู้นำฝ่ายค้านก็ลำบาก รักษาหัวหน้าก้าวไกลก็อาจทำไม่ได้ ถ้าโชคร้ายถูกศาลตัดสินติดคุกติดตะรางขึ้นมา ไม่แค่นั้นในส่วนของก้าวไกลต้นสังกัดพิธาเอง อย่าคิดว่าชนะการเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค.2566 ได้คะแนนมา 14.4 ล้านเสียงแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ประเทศไทยมีคน 60 ล้านคน ไปเลือกตั้ง 40 ล้านคน ก้าวไกลได้คะแนนมาแค่ 14.4 ล้านคะแนนยังไม่ถึงครึ่งของคนที่ออกมาลงคะแนน เพียงแต่สามารถรวมเสียงมาได้ราว 26-27 ล้านคะแนนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ เอาง่ายๆถึงขั้นจะ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” อหังการถึงขั้นที่พิธาประกาศในสภาว่าจะปฏิรูปสถาบัน จะจัดวางพระราชอำนาจของสถาบันใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์โลกภายนอก ถามดังๆ “พวกมึงเป็นใคร ? ” เอาอำนาจ เอาสิทธิ์ขาด เอากฎหมายข้อไหนจะไปทำแบบนั้นกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน สถาบันอันเป็นเสาหลักเป็นที่รักเคารพของคนไทย ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เงาหัวจะไม่มีหารู้ตัวไม่ พิธาหลุดโค้งไปแล้วก้าวไกลกำลังจะรถคว่ำตามไปติดๆ ขนาดใน 8 พรรคร่วมรัฐบาลกันเองยังเกลียดเข้าไส้ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ถึงขนาดตะเพิดให้ออกไปเป็นฝ่ายค้านไวๆ ที่เหลือจะได้ตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ เมื่อวานก็ไม่แสดงความเห็นหนุนพิธา เพื่อไทยก็ตัวดีเล่นละครหลอกเด็ดเมื่อวานซืนไปแบบนั้นแหละ
เสียค่าโง่ตำแหน่งประธานสภาไปแล้ว กำลังจะเสียเก้าอี้นายกฯไปอีกดอก อนาคตก็จะถูกเขาไล่ออกจากรัฐบาล ล่าสุดส.ส.กับส.ว.เรียงคิวออกมาประสานเสียง ประกาศดังๆฟังชัด โหวตนายกฯรอบหน้าต่อให้เป็นแคนดิเดตนายกฯคนใหม่ของเพื่อไทย แม้จะไม่มีเรื่องม.112 แล้วก็จริง แต่ถ้าในรัฐบาลที่ร่วมหัวจมท้ายยังมีก้าวไกลยังมีฝ่ายส้มล้มเจ้ายังมีพวกคิดอุบาทว์ต่อชาติต่อแผ่นดิน ส.ว.กับ พรรคการเมืองหลายพรรคก็จะไม่โหวตให้ ก่อนหน้าการเลือกตั้งพรรคเทวดาเคยประกาศไม่เอาคนอื่นมีเราไม่มีลุง ไม่เอาพรรคกัญชา เป็นพรรคเทวดาเดินดินเก่งอยู่พรรคเดียว มาตอนนี้เป็นไงกลายเป็น “หมาหัวเนาทางการเมือง” ไม่มีใครเอา ไม่มีใครคบ เพราะทำการเมืองแบบชั่วช้า เข้าสู่อำนาจด้วยวิธีหยาบช้า สารพัดเรื่องตอแหล โกหกหน้าด้านๆ เอาโซเชี่ยลที่ถนัดมาเป็นเครื่องมือปั่นหัวคนไทย ทำลายฝ่ายอื่นแบบไม่ทันตั้งตัว วันนี้กรรมติดจรวดก้าวไกลกำลังจะไร้พวก ไม่มีใครคบ ไม่มีใครช่วยเหลือ ไปที่ไหนใครก็ขยะแขยง เป็นพรรคหัวขาดอ่อนด้อยทางการเมืองชนิดน่าสมเพชยิ่งนัก เป็นพรรคชนะเลือกตั้งมาที่ 1 ได้ส.ส.มา 151 คน แต่เพราะความคิดชั่วไอเดียเลวทำระยำกับบ้านเมืองไว้ทุกทางทุกอย่าง สุดท้ายผลกรรมก็คืนสนอง จับตาเกมการเมืองถีบก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านลอยแพฝ่ายส้มล้มเจ้าให้ตายเดี่ยว อนาคตมีโอกาสถูกยุบตามรอยอนาคตใหม่ จากนี้ตามดูกันได้เลยชะตากรรมก้าวไกล จุดจบแกนนำเป็นอย่างไรจะได้รู้กัน
////////////////