จากกรณี นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท นำใบรับรองแพทย์มายื่นยืนยันว่าดวงตาข้างขวาบอดจริงว่า ใบรับรองแพทย์ดังกล่าวได้ลงชื่อพญ.ณฐมน ศรีสำราญ ตนถามว่าพญ.คนดังกล่าวเป็นเจ้าของไข้ และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาจริงหรือไม่ เพราะตนได้สอบถามแพทย์หลายๆ คน รวมถึงพญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ให้ความเห็นว่า การวินิจฉัยโรคไม่สามารถเขียนว่า ตาบอดข้างขวาแล้วจบแบบนี้โดยไม่มีคำอธิบายได้
ซึ่งนี่ไม่ใช่ภาษาแพทย์และภาษากฎหมาย การวินิจฉัยโรคนั้นออกมาระบุตามคำพูดตนตรงๆที่ท้าว่าหากตาบอดจริงจะให้เงินนั้นแบบนี้ทำได้ด้วยหรือ อีกทั้งมีข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงออกใบรับรองแพทย์ได้ในช่วงเวลา 20.00-21.00 น. ทางรพ.พญาไท 1 และแพทยสภา ต้องตรวจสอบการทำงานของหมอคนนี้ว่ามีความรู้ความสามารถ และมีจริยธรรมในการทำหน้าที่หรือไม่ เพราะหากตาบอดจริง แพทย์เจ้าของไข้จะต้องควักลูกตาออกแล้วใส่ลูกตาใหม่ ไม่ใช่ปล่อยให้คนไข้เดินไปแหกตาออกรายการในสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ตลอดจนพิธีกรที่ทำหน้าที่ต้องรับผิดชอบด้วย ทั้งนี้จากการสังเกตเห็นว่าบาดแผลนั้นอยู่เหนือดวงตา และดวงตาก็อักเสบ วิธีการแก้ไขคือนอนนิ่งๆ เพื่อให้เลนส์ตาฟื้นตัว โดยปกติต้องใช้เวลารักษาประมาณ 6 เดือน แต่นายธนัตถ์และพิธีกรกลับวินิจฉัยเองว่าตาบอด ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบอีกรอบ
“ถ้าอยากได้เงิน 1 ล้านบาท ขอให้ตรงไปตรงมา ต้องมีหลักฐานยืนยัน อย่ามาเล่นแบบนี้ แหกตาผมได้ แต่ไม่สามารถแหกตาคนทั้งประเทศได้ ผมจะยื่นเนรื่องให้แพทยสภาตรวจเรื่องนี้ และนพ.ทศพร เสรีรักษ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทยเป็นหมอที่มารัฐสภาวันนี้ก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและยังให้ข้อมูลที่ไม่เที่ยงตรง เป็นแค่หมอม็อบ หรือม็อบ 3 กีบ ซึ่งในวันจันทร์นี้ผมจะวางเงินสด 1 ล้านบาท และให้เขาวาง 10 ล้านบาท จากนั้นไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในรพ.ของรัฐ เพื่อให้คำตอบ หากตาบอดจริงผมจ่ายทันที หากไม่บอดจริง ขอให้นายธนัตถ์ ซื้อข้าวหอมมะลิด้วยเงิน 10 ล้านบาท แจกคนหลักสี่และคนจตุจักรด้วย” นายสิระ กล่าว.
ล่าสุด แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา รับว่านายสิระ เจนจาคะ ส.ส. พปชร. ได้มาพูดคุย และสอบถามถึงใบรับรองแพทย์ของ ไฮโซลูกนัท ในฐานะที่ตนเป็นแพทย์นิติเวช ซึ่งพบว่า ผู้ที่จะออกใบรับรองแพทย์ได้จะต้องมีส่วนในการตรวจโรค
โดยการตั้งคำถามของนายสิระ ว่าใบรับรองแพทย์ดังกล่าวสามารถขึ้นศาลได้หรือไม่นั้น หมอดูแล้ว มองว่าไม่น่าใช่ เพราะไม่มีรายละเอียดอะไร นอกจาก ระบุว่า ตาบอด แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียด เช่น มีอาการอย่างไร เข้ารับการรักษาวันไหน ตรวจด้วยวิธีอะไร หรือต้องพักรักษานานแค่ไหน
ส่วนเรื่องตาบอด คำว่าตาบอดในทางการแพทย์นั้นแตกต่างกับทางกฎหมาย จะต้องบอกว่าการมองเห็นลดลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้จักษุแพทย์จะเป็นผู้ระบุ แต่บางครั้งการมองไม่เห็นบางครั้งอาจเป็นชั่วคราว อาจหายได้ อย่างกรณีแบบนี้ ถูกกระแทกและมีเลือดออกในตา ตอนแรกสุดจะมัวมาก แต่ระยะหนึ่งจะค่อย ๆ ดูดซึมเลือด ก็อาจจะมองเห็น ดังนั้นการที่แพทย์จะใช้คำว่าตาบอด จะต้องระวังมาก หลังจากที่ตนเห็นจากใบแพทย์คร่าว ๆ ไม่เข้าลักษณะใบแพทย์ทางนิติเวชที่จะใช้เป็นพยานศาล