วันนี้ ( 7 ส.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นโจทก์ฟ้อง นายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม จากกรณีที่ ทนายตั้ม ได้แถลงข่าว และให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆในลักษณะกล่าวหาว่า นายชูวิทย์และลูกชาย ได้เรียกรับเงินจากเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ และมีการโพสต์เฟชบุ๊ก
ศาลรับฟ้องคดี "ทนายตั้ม" หมิ่นฯ “ชูวิทย์” ปมถุงเงิน 6 ล้าน ลั่นดีใจได้เป็นโจทก์ คดีที่ 2 ในชีวิต หลังตกเป็นจำเลยมาตลอด เผยแม้จะถูกนายเศรษฐา ฟ้อง 500 ล้าน ยังย้ำจุดยืน คู่กรณีเป็นบุคคลสาธารณะ ต้องตรวจสอบได้ทุกมิติ ยอมรับให้ข้อมูลไม่หมด แต่เป็นสไตล์ส่วนตัว เตรียมเอาหลักฐานเด็ดออกมาแฉต่อ
ข่าวที่น่าสนใจ
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เปิดเผยว่า ศาลรับฟ้องกรณีดังกล่าวแล้วเนื่องจากมีมูลที่เชื่อได้ว่า โจทก์น่าจะถูกดูหมิ่น ชื่อเสียง เกลียดชัง จากพฤติการณ์ของจำเลย ที่ โพสต์ข้อความลงเฟชบุ๊ก โดยการตั้งสถานะเป็นสาธารณะ ทำให้ประชาชนชนสามารถเข้าไปชมได้ โดยจำเลยได้กล่าวหาใน 3 ประเด็น ประเด็นแรกคือ กล่าวหาว่า นายชูวิทย์รับเงินจากเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ 10 ล้าน แต่ความจริงรับมาเพียง 6 ล้านบาท และได้มีการเอาไปทำบุญตามที่เป็นข่าว ประเด็นที่ 2 กล่าวหาว่านายชูวิทย์เป็นโรบินฮู้ด ปล้นคนรวยไปช่วยเหลือคนจน และประเด็นสุดท้ายที่กล่าวหาว่า ลูกชายของนายชูวิทย์รับเงินจำนวน 50 ล้านบาท ในรูปเงินสกุลดิจิตอล มาจากเว็บพนันออนไลน์ โดยศาลนัดตรวจหลักฐานและสืบพยานในวันที่ 25 ก.ย. เวลา 13.00 น.
ด้านนายชูวิทย์ กล่าวว่า คดีนี้ศาลได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีแล้ว ซึ่งถือเป็นคดีที่ 2 ที่ตนได้เป็นโจทย์ เนื่องจากที่ผ่านมาตนมักจะตกเป็นจำเลยถูกฟ้องในคดีต่างๆ จึงได้บอกว่า สักครั้งนึงได้เป็นโจทก์ก็จะเป็นโจทก์ที่ดี ส่วนกรณีที่ถูกนายเศรษฐาฟ้องเรียกเงิน 500 ล้านบาท ก็ยืนยันว่า เมื่อนายเศรษฐาเสนอชื่อมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถือว่า เป็นบุคคลสาธารณะ ซึ่งสามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ อีกทั้งการกระทำของนายเศรษฐา ก็มีความหมิ่นเหม่มาก เพราะการวางแผนภาษี กลับการวางแผนโกงมีความแตกต่างกัน มีการซ่อนเร้นอำพราง ส่วนที่นายวิญญัติ ทนายความได้ให้สัมภาษณ์ว่านายชูวิทย์ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนในประเด็นดังกล่าวไม่ครบถ้วนนั้น แท้ที่จริงเป็นแผน ของตนเองที่ขุดหลุมพรางไว้ ซึ่งจะได้นำหลักฐานมาชี้แจงในภายหลัง เพราะตามสไตล์ของตนเองจะพูดไม่หมดอยู่แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-