ชัยชนะ “เพื่อไทย” อันตรายประเทศชาติ

เพื่อไทยชนะเบ็ดเสร็จ หลังประกาศสลายขั้วตั้งรัฐบาลพิเศษ ชี้สัญญาณชัดดึงสองลุงร่วมงาน ก่อนถีบก้าวไกล ประชาธิปัตย์ ไทยสร้างไทย เป็นธรรมเป็นฝ่ายค้าน พร้อมเจาะลึกธงรัฐบาลใหม่ ลุยแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับอาจทำประเทศชาติ ตกอยู่ในความอันตราย

การเมืองไทยในวันนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เชื่อว่าการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงการโหวตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยน่าจะเรียบร้อยเสร็จสิ้นทุกกระบวนความ และอาจกล่าวได้ว่า เพื่อไทยสามารถปักธงประกาศชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

วันนี้การจัดตั้งรัฐบาลของเพื่อไทยผ่านฉลุยจากการสลายขั้วตั้ง “รัฐบาลพิเศษ” 315 เสียง ที่มีแนวโน้มจะประกอบไปด้วยพรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนากล้า 2 เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง พรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง พรรคท้องที่ไทย 1 เสียง  ขณะเดียวกันล่าสุดนายสุรทิน พิจารณ์ สส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ได้ประกาศจะสนับสนุนด้วยการโหวตให้พรรคเพื่อไทย เพิ่มอีก 1 เสียง

ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยที่กวาดเรียบทุกกระดานมาจากการให้พรรคสองลุงทั้งพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล แม้ว่าจนถึงขณะนี้เพื่อไทยจะยังไม่แถลงข่าวในเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่มีหลายเหตุการณ์ที่สอดรับกันเป็นลำดับว่าอีกไม่ช้าพรรคสองลุงจะตามมาติด ๆ เช่น

 

ข่าวที่น่าสนใจ

กรณีนายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐออกมาระบุก่อนหน้านี้ว่า สส.พลังประชารัฐ 40 คนพร้อมจะยกมือโหวตให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งการออกมาส่งสัญญาณของนายไผ่ ลิกค์ ในครั้งนี้เปรียบเสมือนการได้รับไฟเขียวจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีกรณีรายงานข่าวที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง เดินเท้าจากอาคารพรรคเพื่อไทยไปตึกซัมมิท เพื่อไปแจ้งกับพรรคก้าวไกลว่า “พรรคเพื่อไทย มีความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ โดยอาศัยเสียงของพรรคพลังประชารัฐ ที่มีพล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรค”

 

 

รวมถึงกรณี น.ส.แพทองธาร พูดกับแฟนคลับที่เดินทางมาให้กำลังใจถึงพรรคเพื่อไทยในทำนองยอมรับเพื่อไทยจำเป็นต้องสลายทุกขั้วว่า

“มีคนพูดว่าเราจะปิดสวิตช์ ส.ว. ถ้าเราแลนด์สไลด์ แต่วันนี้เราทำไม่สำเร็จ ซึ่งเมื่อไม่สำเร็จก็ต้องมาดูตัวเลขว่าทำอย่างไรที่จะตั้งรัฐบาลได้ เราอยากผลักดันนโยบายพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยก็ต้องสู้เต็มที่ ซึ่งรู้ว่าบรรดาแฟนคลับหลายคนเข้าใจ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ ยังคงมีอารมณ์อยู่ ก็หวังได้อธิบายกันด้วยเหตุผล ไม่สู้กันด้วยความรุนแรง”

ขณะเดียวกันยังมีกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยออกมายอมรับได้พูดคุยกับเพื่อนอดีตกลุ่มสามมิตร อย่างนายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และนายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท พรรครวมไทยสร้างชาติ ถึงทิศทางการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ไม่แนะนำให้เขาเป็นงูเห่า แต่แนะนำหากมาร่วมรัฐบาล ให้มาเป็นพรรคหรือมาทั้งหมด จึงจะสมศักดิ์ศรีการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพรรคการเมือง

เช่นเดียวกันยังมีการส่งสัญญาณขานรับจากบรรดา สว. เช่น นายวันชัย สอนศิริ ที่ออกมาโพสต์ว่า “หมดเรื่อง 112 และก้าวไกลไปแล้ว สว. เห็นว่าประเทศไทยต้องเดินหน้า จะชักช้าไม่ได้ เป็นที่ชัดเจนและเสียงดังฟังชัดในหมู่เพื่อน สว. ส่วนใหญ่ว่า “ใครรวมเสียงส่วนใหญ่ได้ จะเลือกคนนั้นพรรคนั้นเป็นนายกฯ” แน่นอน สัญญาณครั้งนี้จากทุกสายชัดยิ่งกว่าชัด โหวตนายกฯ ครั้งหน้าจากเพื่อไทยผ่าน ฉลุย สว. เต็มคาราเบล”

ที่กล่าวมานี้คือทุกสัญญาณการสอดรับว่า พรรคเพื่อไทยสามารถประกาศชัยชนะจัดตั้งรัฐบาลพิเศษ 315 เสียง จาก 12 พรรคการเมือง จากการมีพรรคสองลุงเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในครั้งนี้ โดยทิ้งให้พรรคก้าวไกล 149 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง และพรรคเป็นธรรม 1 เสียง กลายเป็นฝ่ายค้าน 181 เสียง

มาถึงตรงนี้ก๊วนการเมืองที่น่าจะเจ็บปวดที่สุดน่าจะเป็น 19 สส.พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นกลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าได้ส่งนายเดชอิศว์ ขาวทอง สส.สงขลา รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไปเจรจาเรื่องจัดตังรัฐบาลกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศฮ่องกง กระทั่งล่าสุดนายเดชอิศว์ ออกมายอมรับว่าได้ไปพบและเจรจากับนายทักษิณจริงตามที่เป็นข่าว

แต่สุดท้าย 19 สส.พรรคประชาธิปัตย์ต้องตกขบวนรัฐบาลเพื่อไทยโดยถูกสลัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยจากคนแดนไกล เพราะมองว่า 19 เสียงของประชาธิปัตย์ไม่ได้มีความหมายอะไร เนื่องจาก 314 เสียงของรัฐบาลเพื่อไทยมีเสถียรภาพมากพอแล้ว

 

 

 

 

อีกทั้งยังมองว่า 19 เสียงของประชาธิปัตย์ที่ไร้นายชวน หลีกภัย จะเป็นงูเห่าที่กลายเป็นสายล่อฟ้าถูกโจมตีทางการเมืองได้ตลอด และที่สำคัญเพื่อไทยยังต้องประเคนตำแหน่งรัฐมนตรีถึง 2 เก้าอี้โดยไม่มีความจำเป็นหากนำ 19 สส.ประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมรัฐบาล โดยล่าสุดมีรายงานข่าวแจ้งว่า พรรคเพื่อไทยได้แจ้งไปยังนายเฉลิมชัยว่าจะไม่มี 19 สส.เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทยอย่างแน่นอน

แม้เพื่อไทยจะประกาศชัยชนะอยางสมบูรณ์แบบ แต่ในอีกทางนึงการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอาจเป็นอันตรายกับประเทศชาติหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสัญญาประชาคมที่รัฐบาลเพื่อไทยประกาศเจตตารมณ์ไว้ชัดเจนคือ การเดินหน้า “แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60ทั้งฉบับ” ผ่านกระบวนการทำประชามติและตั้ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.เพื่อยกร่างใหม่ทั้งหมด โดยอ้างว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกฝ่ายย่อมรู้ดีว่า รัฐธรรมนูญปี 60 คือดาบใหญ่ใหญ่ที่คอยประหารบรรดานักการเมืองที่มุ่งหวังจะมากอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญกลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลมีเดียว่า “ถ้าไม่คิดชั่วจะกลัวทำไม”

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 60 ทั้งฉบับย่อมส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง และอาจทำให้เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยก็ได้ เพราะการแก้ไขทั้งฉบับจะทำให้ผู้มีอำนาจสามารถแตะต้องเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกรัฐธรรมนูญในหมวดต่าง ๆ ได้ตามใจชอบโดยผ่านกระบวนการสารตั้งต้นจาก สสร.

ที่น่าสนใจคือกระบวนการเลือก สสร.ที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์ของมีอำนาจในขณะนั้น แต่ส่วนใหญ่จะใช้หลักเกณฑ์ตัวแทนสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งประชาชนทางอ้อมทั้งหมด 77 จังหวัด และตัวแทนนักวิชาการ เสนอรายชื่อโดยสถาบันการศึกษา จำนวน 23 คน

จึงน่าสนใจว่ากระบวนการคัดเลือกสสร.ที่เป็นของตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งอาจมีความได้เปรียบเสียเปรียบหรือไม่ โดยเฉพาะหากนำมาเทียบเคียงกับคะแนนการเลือกตั้ง สส.ปาร์ตี้ลิสต์ทั่วประเทศ 77 จังหวัดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมาพบว่า

-พรรคก้าวไกลได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เป็นอับดับหนึ่ง 44 จังหวัด โดยมีคะแนนเป็นที่สอง 33 จังหวัด

-พรรคเพื่อไทยได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เป็นอับดับหนึ่งถึง 26 จังหวัด โดยมีคะแนนเป็นที่สอง 35 จังหวัด

-พรรครวมไทยสร้างชาติได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เป็นอับดับหนึ่งถึง 4 จังหวัด โดยมีคะแนนเป็นที่สอง 9 จังหวัด

-พรรคประชาชาติได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เป็นอับดับหนึ่งถึง 3 จังหวัด โดยมีคะแนนเป็นที่สอง 33 จังหวัด

 

 

ทั้งนี้เมื่อดูคะแนน สส.ปาร์ตี้ลิสต์ในการเลือกเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจะพบว่า พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยมีคะแนนเป็นอับดับหนึ่งรวมกันถึง 70 จังหวัด และมีคะแนนเป็นอับดับสองรวมกันถึง 68 จังหวัด ดังนั้นหากมีการเลือกตั้ง สสร. แต่ละจังหวัดคงคาดเดาได้ว่า เราจะได้คนของพรรคการเมืองที่มาจากเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเข้ามาเป็น สสร.ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันถ้วนหน้าหรือไม่ และจากนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะถูกออกแบบไปในทิศทางใดก็ได้เพื่อให้เป็นไปตามใจของบรรดาผู้มีอำนาจกลุ่มใหม่

 

 

มาถึงวันนั้นเราอาจได้เห็นการแก้รัฐธรรมนูญที่เคยกำหนดให้คดีทุจริตคอรัปชั่นไม่มีวันหมดอายุความกลายเป็นคดีที่มีอายุความ ซึ่งประเด็นนี้อาจทำให้การกลับบ้านแบบเท่ ๆ โดยไม่ติดคุกของนายทักษิณที่ต้องโทษจำคุก 10 ปีใน 3 คดีกลายเป็นคดีที่หมดอายุความหรือไม่ หลังจากรอนแรมอยู่ต่างประเทศถึง 15 ปีเต็ม ๆ

 

นอกจากนี้เราอาจจะได้เห็นคดีโกงกินที่มีโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตถูกแก้ไขให้เหลือโทษเพียงไม่กี่ปี หรือเราอาจจะได้เห็นคดีร่ำรวยผิดปกติ ฟอกเงินที่มีโทษจำคุก15-30ปี รวมถึงการยึดทรัพย์เปลี่ยนไปในอีกมิติหนึ่ง

ที่สำคัญเราอาจได้เห็นการแก้รัฐธรรมนูญในหมวดพระมหากษัตริย์สถาบันอันที่รักของปวงชนชาวไทยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดหรือไม่ และนี่อาจเป็น “ชัยชนะของเพื่อไทยแต่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ” ก็เป็นไปได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ครูบาอริยชาติ เชิญชวนพุทธศาสนิกชน ฉลองสมโภช 18 ปีวัดแสงแก้วโพธิญาณ และทำบุญฉลองอายุวัฒนมงคล 44 ปี
กกต.สั่งดำเนินคดีอาญา "ชวาล" ส.ส.พรรคประชาชน ยื่นบัญชีใช้จ่ายเท็จ โทษคุก-ตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
จีนเตือนสหรัฐกำลังเล่นกับไฟหลังส่งอาวุธให้ไต้หวัน
อิลอน มัสก์วิจารณ์แรงผู้นำเยอรมันเหตุโจมตีตลาดคริสต์มาส
ซาอุฯเคยเตือนเยอรมนีเรื่องคนร้ายโจมตีตลาดคริสต์มาส
เครื่องบินรบสหรัฐยิงถล่มเป้าหมายฮูติกลางกรุงซาน่า
เผยคลิปขณะรถพุ่งชนผู้คนที่ตลาดคริสต์มาสเยอรมนี
“ทักษิณ-อนุทิน” ชื่นมื่น ร่วมวงตีกอล์ฟ ยันสัมพันธ์รัฐบาลเปรียบเรือลำเดียวกัน
“ณฐพร” เตือนบุคลากรกระบวนการยุติธรรม ต้องยึดปฏิบัติ ทำหน้าที่ตามรธน.
กกต.มั่นใจรับสมัครเลือกตั้ง อบจ. 23-27 ธ.ค. นี้ ไร้เหตุรุนแรง แม้แข่งขันเข้มข้น

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น