“เศรษฐา” ตายเพราะปากจบเห่นายกฯ?

ปลาหมอตายเพราะปาก เจาะหนทาง "เศรษฐา ทวีสิน" นั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ส่อจบเห่ เหตุปากไวไม่ยอมให้พรรคร่วมรัฐบาลคุมกระทรวงเดิม เผยโดนต้านยับ จี้เปลี่ยนตัวเป็นอุ๊งอิ๊ง ขณะที่ สว.ข้องใจปมเดินเกมแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับแอบซูเอี๋ยก้าวไกลหรือไม่

กลับมาสะดุดอีกครั้งสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล และการโหวตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยที่ก่อนหน้านี้ว่ากันว่าหนทางราบรื่นหลังประกาศสลายขั้วการเมืองตั้ง “รัฐบาลพิเศษ” ซึ่งการสะดุดหกล้มดังกล่าวเกิดจากการให้สัมภาษณ์ของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยที่ออกมาระบุว่า จะไม่ให้พรรคการเมืองเดิมบริหารกระทรวงเดิมโดยมองว่าเป็นหลักการหนึ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งหลังจากคำพูดนี้ออกไปสู่สาธารณะ ทำให้เกิดแรงต้านจากพรรคการเมืองที่กำลังเข้าร่วมรัฐบาลออกมากอย่างรุนแรงถึงขนาดจี้ให้พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนตัวนายเศรษฐา

อาการปากไวดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการจัดตั้งรัฐบาล ของพรรคเพื่อไทย และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐาอย่างรุนแรง เพราะในแง่ของยุทธศาสตร์การเมืองนายเศรษฐาไม่ควรพูดอะไรที่เกี่ยวกับเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาลว่า ไม่ให้นู้นไม่เอานี่ เพราะคำพูดดังกล่าวอาจส่งผลร้ายหากอำนาจการต่อรองอยู่ในมือของคนอื่น โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย และพรรคสองลุงที่เพื่อไทยจะขาดไม่ได้หากคิดจะจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ ดังนั้นนายเศรษฐาในฐานะบุคคลที่จะมาเป็นผู้นำของประเทศควรวางตัวให้เหมาะสม และไม่ควรใช้วาจาที่ใจเร็วลุแก่อำนาจที่อาจส่งผลทำให้เกิดรอยร้าวในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล

 

 

จากคำพูดดังกล่าวส่งผลให้พรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทยเกิดความลังเลที่จะโหวตนายกรัฐมนตรีให้นายเศรษฐาถึงขนาดมีรายงานข่าวออกมาว่า กลุ่มพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลยื่นข้อเสนอผ่านคณะผู้แทนเจรจาจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยว่า ต้องแบ่งกระทรวงให้เป็นที่ยุติชัดเจนก่อนการโหวตนายกฯ และต้องไม่มีเงื่อนไขห้ามนั่งในกระทรวงเดิม แต่ให้พิจารณากระทรวงเดิมเป็นอันดับแรกเพื่อทำงานได้ต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังต้องการให้รัฐบาลใหม่เร่งรัดนโยบายแก้ปัญหาปากท้องประชาชนเป็นอันดับแรก และหากพรรคเพื่อไทย รวมถึงนายเศรษฐาไม่รับเงื่อนไข กลุ่มพรรคร่วมอยากให้เปลี่ยนตัวเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นนายกฯแทน

ขวากหนามที่นายเศรษฐาพลั้งปากพูดแสดงให้เห็นว่า การทำงานระหว่างพรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐาไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้การออกสัมภาษณ์หลายครั้งของพรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐาไม่เป็นในทิศทางเดียวกัน อาทิ การพูดจะแก้ไขมาตรา 112 ของนายเศรษฐาในลักษณะสวนทางกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ไม่เคยมีธงในการแก้ไขมาตรา 112 มาตั้งแต่หาเสียง

ความไม่เป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างนายเศรษฐา และพรรคเพื่อไทยยังทำให้เห็นอีกมุมมองนึงว่า การลุกฮือของกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลที่ยื่นเงื่อนไขให้เปลี่ยนตัวนายเศรษฐาเป็น น.ส.แพทองธาร หรืออุ๊งอิ๊งแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมา นายเศรษฐาไม่ใช่คนสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากขาดความเข้าใจเรื่องการจัดสรรโควต้าของพรรคการเมืองที่ต้องให้แต่ละฝ่ายสมประโยชน์อย่างลงตัว โดยเฉพาะเงื่อนไขของพรรคร่วมที่ส่งตรงถึงเพื่อไทยว่า ต้องไม่มีเงื่อนไขห้ามนั่งในกระทรวงเดิม

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ในทางการเมืองเป็นที่รู้ดีกันว่า การเข้ามาคุมกระทรวงเดิมของพรรคการเมืองเดิมถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้สานงานที่เคยบริหารมาอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่ในอีกทางหนึ่งยังเป็นการตอบแทนกลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรคการเมืองนั้น ๆ โดยการได้คุมกระทรวงเป้าหมายจะทำให้กลุ่มทุนร่วมกำหนดนโยบายและสานผลประโยชน์ให้เป็นไปตามที่ต้องการ โดยจะเห็นได้จากกระแสข่าวที่ออกมาว่า พรรครวมไทยสร้างชาติกำลังเจรจาขอโควต้ารัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เนื่องจากรวมไทยสร้างชาติมีนายทุนใหญ่กลุ่มพลังงานสนับสนุน แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่คลี่คลาย เพราะพรรคเพื่อไทยต้องการคุมกระทรวงพลังงานเช่นกัน

เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทยที่ต้องการคุมกระทรวงคมนาคมเหมือนเดิม เพราะเป็นกระทรวงเกรดเอที่มีงบประมาณจำนวนมหาศาล และถือเป็นกระทรวงที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำหากพรรคการเมืองใดได้เข้ามาดูแล ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคมนั้น เพื่อไทยวางเป้าที่จะเข้ามาดูแลเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันภูมิใจไทยยืนกรานจะเข้ามาดูแลเหมือนเดิม จึงทำให้การจัดสรรโควต้ารัฐมนตรีในการคุมกระทรวงต่าง ๆ ของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลยังมีความขัดแย้งอย่างหนัก และสิ่งเหล่านี้อาจทำให้นายเศรษฐา ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ทันที หากการเจราจาดัวกล่าวไม่เป็นที่พอใจกับกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลเดิมโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย และพรรคสองลุง

นอกจากอาการปลาหมอตายเพราะปากแล้วนั้น นายเศรษฐา ยังประสบปัญหาเรื่องธรรมาภิบาลของผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินหน้าแฉแหลกในทุก ๆ เรื่องทั้งการซื้อขายที่ดินย่านถนนสารสิน เนื้อที่ 1 ไร่เศษ ราคากว่า 1,570 ล้านบาทของบริษัทแสนสิริโดยใช้วิธีเลี่ยงภาษีเงินได้บุลคลธรรมดาทำให้รัฐเสียหายกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเรื่องดังกล่าวแม้จะป็นวิธีการที่ทำได้ในทางกฎหมาย แต่ก็ทำให้นายเศรษฐาถูกสังคมวิจารณ์เรื่องจริยธรรมอย่างหนักเช่นกัน

 

 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องคุณสมบัติที่ สว.ส่วนใหญ่กำลังตั้งคำถามทั้งจุดยืนเรื่องแก้ไขมาตรา 112 ที่นายเศรษฐาเคยพูดไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ขณะเดียวกันยังมีเรื่องสำคัญที่เป็นธงของเพื่อไทย และนายเศรษฐา คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

สำหรับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่ สว.ส่วนใหญ่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจเป็นการสร้างวิกฤติความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในชาติอีกครั้ง อีกทั้ง สว. ยังมองว่า ทำไมเพื่อไทย จึงให้ความสำคัญ ต่อการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นวาระเร่งด่วน มากกว่าการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หรือเพื่อไทยมองว่า รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นปัญหา อุปสรรค ของนายทุน เจ้าของเพื่อไทย ทำให้ไม่สามารถกลับไทยได้แบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุก ดังนั้น สว.จึงไม่อาจโหวตให้นายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี หากยังไม่ได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง

 

ขณะเดียวกัน สว. ส่วนใหญ่ยังมองว่า การประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญของเพื่อไทยในครั้งนี้อาจมีการรู้เห็นกับพรรคก้าวไกลหรือไม่ เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ สอดคล้องกันอย่างลงตัว เมื่อเครือข่ายภาคประชาชนกลุ่ม3 นิ้วรวมตัวกันที่บริเวณลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ประกอบด้วยกลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ นำโดยโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw ,เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ หรือ CALL ,คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน หรือ ครช. และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ กป.อพช. จัดเวทีแถลงการณ์เปิดแคมเปญ “เขียนใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100%” โดยเชิญชวนประชาชนเข้าชื่อให้ครบ 5 หมื่นชื่อ เพื่อเสนอคำถามสำหรับการทำประชามติต่อคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องแก้ได้ทุกหมวด และทุกมาตราไปจนถึงการรวมศูนย์อำนาจรัฐธรรมนูญต้องพูดถึงเรื่องกระจายอำนาจที่ชัดเจน ซึ่งจะเป็นทางออกให้สังคมไทยได้

 

 

ด้วยปัจจัยดังกล่าว จึงเป็นที่มาการออกมาประกาศจุดยืนของนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภาที่ออกมายืนกรานว่า ไม่ตัดสินใจว่าจะโหวตนายเศรษฐาหรือไม่ เพราะยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะมีนายกรัฐมนตรีชื่อนายเศรษฐา เนื่องจากไม่ได้มองแค่ตัวบุคคล แต่มองไปถึงทั้งพรรค ดังนั้นหากนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้เสนอ คือการแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นประเด็นแรกสำคัญกว่าเรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจของประชาชน และถ้าเป็นอย่างนั้นคงสนับสนุนนายเศรษฐาลำบาก

 

 

พายุการเมืองที่เกิดจากแรงกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล และ สว. รวมถึงความไม่ชอบมาพากลในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ที่กำลังพุ่งเข้าสู่นายเศรษฐา และพรรคเพื่อไทยในขณะนี้อาจส่งผลลุกลามนำไปสู่จุดจบของนายเศรษฐาในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ก็เป็นไปได้,,,?

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน
สถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองฯ ชาติพันธุ์ชุมชนชาวเลโต๊ะบาหลิว

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น