วันนี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ตอบโต้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ เรื่องที่ดินทองหล่อ โดยขอให้นายชูวิทย์ต้องแยกผู้ขายกับผู้ซื้อให้ชัดเจนว่า ข้อโต้แย้งระหว่างบุคคลทั้งสองดังกล่าว ไม่ค่อยมีสาระสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขหรือป้องกันกระบวนการที่เกิดขึ้น ซึ่งน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายฉบับ และอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ดังนั้นในวันนี้ตนจึงส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร ได้ดำเนินการ ตามความดังต่อไปนี้
ข่าวที่น่าสนใจ
1.กรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน แถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม2566 ในส่วนหัวข้อ ต้องแยกผู้ขายกับผู้ซื้อให้ชัดเจน
2.ต่อกรณีดังกล่าว นายเศรษฐา ยอมรับว่า บริษัทแสนสิริ คือ ผู้ซื้อ แต่เมื่อดูจากข้อมูลและแผนภาพ ปั่น บวม ตัดตอน ที่นายชูวิทย์แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ส่วนหนึ่งระบุว่า บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ขายที่ดินทองหล่อให้บริษัท อาณาวรรธน์ จำกัด ในราคา 957.55 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2559 ซึ่งนิติกรรมดังกล่าว ย่อมมีภาระภาษีที่ต้องนำส่งกรมสรรพากรตามกฎหมาย ดังนั้นการแถลงของนายเศรษฐา น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินทองหล่อแปลงนี้ด้วย
3.ข้อมูลเบื้องต้นจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ไม่ส่งงบการเงินตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา สถานะปัจจุบัน เป็นบริษัทร้าง
4.การไม่ส่งงบการเงินตั้งแต่ปี 2558 แต่ต่อมาในวันที่ 14 กันยายน 2559 กลับมีการขายที่ดินดังกล่าว ในราคา 957.55 ล้านบาท จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า เมื่อขายที่ดินแล้ว บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด นำเงินกำไรไปเสียภาษีให้กรมสรรพากรโดยถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
5.เมื่อนำงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาตรวจสอบพบว่า บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด แสดงมูลค่าที่ดินไว้ตามหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 6. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน – สุทธิ เป็นเงินประมาณ 545.45 ล้านบาท ดังนั้นในการขายที่ดิน ณ วันที่ 14 กันยายน 2559 จึงควรมีกำไรประมาณ 412.10 ล้านบาท เงินกำไรดังกล่าว จึงต้องนำไปปิดบัญชีส่งให้กรมสรรพากรเพื่อเสียภาษีตาม ภงด.50 ต่อไป
6.การที่บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ไม่ส่งงบการเงิน และปล่อยให้เป็นบริษัทร้าง จึงน่าเชื่อว่าบริษัทนี้ไม่มีการปิดบัญชี เพื่อจะไม่ต้องไม่ยื่น ภงด.50 กรณี จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า อาจมีการไม่เสียภาษีให้กรมสรรพากร ซึ่งเรื่องภาษีย่อมต้องเป็นหน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร จะต้องกำกับดูแลและสั่งให้ตรวจสอบเพื่อนำเงินภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม มาเป็นรายได้แผ่นดิน
7.การเสียภาษีเป็นหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และคนที่เป็นหรืออยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีควรมีวิสัยทัศน์ต่อเรื่องการจัดหารายได้เข้าสู่รัฐ จึงควรติดตามการจัดเก็บภาษี นำตัวผู้เสียภาษีมาลงโทษตามกฎหมาย จึงมีเหตุอันควรขอให้นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจแทนคนที่อยากจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ไปพลางก่อน
8.กรณีที่ดินทองหล่อ ฝ่ายผู้ซื้อควรจะรู้ว่า ที่ดินดังกล่าวใครเป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง การที่บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด แจ้งโอนเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นจากกลุ่มเดิม 4 คน ไปเป็นบุคคลที่ไม่น่าจะมีฐานะทางการเงินที่จะซื้อหุ้นมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท ได้เพียงคนเดียว ดังนั้นต้องตรวจสอบว่าเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ผู้รับโอนหุ้นแต่ละทอดเอาเงินที่ไหนมาซื้อหุ้นเกือบ 100 ล้านบาท
9.ควรสั่งให้กรมสรรพากรตรวจสอบขยายผล ติดตามเส้นทางการเงินที่ขายที่ดินดังกล่าว ทำเช็คแบบใด กี่ครั้ง ใครคือผู้รับเงินรายสุดท้าย ผู้ และการขายที่ดินดังกล่าวมีการตั้งนอมีนี มาเป็นตัวแทนเชิดของผู้ถือหุ้นที่แท้จริง เพื่อหลบหนีภาษี และซุกซ่อนเงินที่ได้จากการขายที่ดิน
10 ข้อเท็จจริงที่นายชูวิทย์เปิดเผย อาจอยู่ในลักษณะ “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” ทำให้เห็นได้ว่า หน่วยงานของรัฐ อาจไม่ได้ทำงานประสานกัน ตั้งแต่การแจ้งโอนเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น การทำนิติกรรมที่กรมที่ดิน การปล่อยให้บริษัททิ้งร้าง การไม่ติดตามข้อมูลของกรมสรรพากร การกำกับดูแลของ ตลท.หรือ กลต.ที่อาจมีข้อบกพร่อง ซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี จึงควรสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาและหาทางป้องกันต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-