หลังจากที่ประชุมรัฐสภา มีวาระพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญที่มีการเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย
ภายหลังการอภิปรายนานกว่า 5 ชั่วโมง ซึ่งแบ่งเป็น สว.2 ชั่วโมง และสส.3 ชั่วโมง มีการสลับลุกขึ้นอภิปรายคุณสมบัติของ นายเศรษฐา อย่างเข้มข้นนั้น ผลปรากฎว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนน 482 เสียง ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ มากกว่า 376 เสียง ทำให้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยนั้น
ข่าวที่น่าสนใจ
สำหรับเศรษฐา ทวีสิน (เกิด 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505) ชื่อเล่น นิด เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หนึ่งในบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยในปี พ.ศ. 2566 ของพรรคเพื่อไทย อดีตประธานอำนวยการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแสนสิริขึ้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศไทย
ภายหลังเศรษฐาเข้าร่วมงานทางการเมืองในนามพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 เศรษฐาให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก เน้นย้ำเรื่องปากท้องของประชาชน ความเหลื่อมล้ำของสังคม และการให้ความสำคัญกับความเสมอภาค ความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพในการเลือก และมักประกาศว่าภารกิจสำคัญหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอุปสรรคให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างยากลำบาก
ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นพรรคอันดับสองรองจากพรรคก้าวไกล สิทธิในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจึงอยู่กับพรรคก้าวไกล อย่างไรก็ตามในการโหวตนายกรัฐมนตรีที่เป็นแคนดิเดตจากพรรคก้าวไกล คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ได้คะแนนเสียง 324 เสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 8 พรรค ขาดอีก 52 เสียง ซึ่งไม่เป็นผลสำเร็จ และไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว. อย่างเพียงพอ พรรคก้าวไกลจึงมอบสิทธิ์ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีมติเสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
ทั้งนี้ที่ผ่านมาก่อนที่เศรษฐาจะเข้าสู่สนามการเมือง เศรษฐาเป็นผู้สังเกตการณ์ที่เฉียบคมเกี่ยวกับวาระทางสังคมของประเทศ ตั้งแต่สมัยเป็นผู้บริหารแสนสิริ และได้มอบหมายแนวคิดในการสร้างกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแรงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศชาติในหลาย ๆ ด้าน เช่น การผลักดันการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม การสนับสนุนความเท่าเทียมและความหลากหลาย รวมถึงโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชน และกีฬา
ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว
เศรษฐาเป็นบุตรคนเดียวของของร้อยเอกอำนวย ทวีสิน กับ ชดช้อย ทวีสิน (สกุลเดิม จูตระกูล) บิดาของเศรษฐาเสียชีวิตตั้งแต่เศรษฐาอายุเพียง 3 ปี
เศรษฐา นับว่าเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ ตระกูลทวีสินเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีความเกี่ยวข้องกับสายเครือญาติ 5 ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย อันได้แก่ ตระกูลยิบอินซอย จักกะพาก จูตระกูล ล่ำซำ และ บูรณศิริ ซึ่งเป็นสายสกุลของเศรษฐา ทวีสิน กับ ชดช้อย ทวีสิน (สกุลเดิม จูตระกูล)
ในปี 2532 เศรษฐาสมรสกับ พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญความงามด้านผิวพรรณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีบุตรธิดา 3 คน ได้แก่
ณณภัทร ทวีสิน (น้อบ) บุตร
วรัตม์ ทวีสิน (แน้บ) บุตร
ชนัญดา ทวีสิน (นุ้บ) ธิดา
ด้านการศึกษา
ในระดับประถม เศรษฐาศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร จากนั้นไปศึกษาต่อที่สหรัฐในระดับไฮสกูล และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแมสสาชูเซ็ตส์ (University of Massachusetts) ปริญญาโทในสาขาบริหารธุรกิจด้านการเงินจาก บัณฑิตวิทยาลัยแคลมอนต์ (Claremont Graduate School) ของสหรัฐ
ประสบการณ์การทำงาน
-ปี 2529 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล อยู่ 4 ปี
-ทำงานที่ บริษัท แสนสำราญ จำกัด ของอภิชาติ จูตระกูล ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท แสนสิริ จำกัด ต่อมาเศรษฐาได้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทดังกล่าว และพาบริษัทเข้าจดทะเบียนบริษัทมหาชน ในปี 2538
-นายเศรษฐาเป็นชื่นชอบกีฬาฟุตบอล และยังเป็นกองเชียร์ เดอะ ค็อป ลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลชื่อดังของลีกอังกฤษ และยังตั้งแสนสิริอะคาเดมี ในปี 2549 เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนที่อยู่ในชุมชนรอบโครงการได้เรียนรู้พื้นฐานทางด้านกีฬาฟุตบอล และไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งมีนักฟุตบอลอาชีพอย่างเจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ผ่านการเรียนฟุตบอลในอะคาเดมีนี้ด้วย
เส้นทางการเมือง
-ชื่อของนายเศรษฐา เริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมืองตั้งแต่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากการเปิดประเด็น ว.5 โฟร์ซีซั่น
-นายเศรษฐาเป็นที่รู้จักในสังคมมากขึ้น จากการใช้ทวิตเตอร์วิจารณ์รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ระบาดทั่วโลก และยังคอลเอาท์สนับสนุนการชุมนุมของม็อบ 3 นิ้วด้วย โดยนายเศรษฐาเคยเขียนจดหมายถึง ยูนิเซฟ ประเทศไทย เรียกร้องให้ออกแถลงการณ์เน้นย้ำรัฐบาลไทยไม่ให้ปราบปรามผู้ชุมนุม
-ปลายปี 2565 เริ่มมีขาวว่านายเศรษฐาจะมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย โดย 18 พฤศจิกายน 65 มีคนทวิตถึงนายเศรษฐาว่า “ถ้าท่านมาอยู่เพื่อไทย ผมเลือกเพื่อไทยครับ” ซึ่งนายเศรษฐาก็ตอบทวิตดังกล่าวว่า “ผมอยู่เพื่อไทยครับ”
-เมื่อ 21 มกราคม 66 ช่วงเทศกาลตรุษจีนที่เยาวราช นายเศรษฐาออกงานร่วมกับแพทองธาร ชินวัตรครั้งแรก ท่ามกลางกระแสข่าวนายเศรษฐาจะเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย
-1 มีนาคม พรรคเพื่อไทยเปิดตัวนายเศรษฐา ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หรือ อุ๊งอิ๊ง
-3 มีนาคม 2566 นายเศรษฐาประกาศชัดเจน จะรับตำแหน่งนายกฯ เท่านั้น และไม่รับตำแหน่งใด ๆ ทางการเมือง หากไม่ได้เป็นนายกฯ” จากนั้นช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงตามเวทีปราศรัยต่างๆ
– 17 มีนาคม 2566 พรรคเพื่อไทยเปิดตัวผู้สมัคร สส.เขต 400 คน นายเศรษฐาขึ้นเวทีประกาศนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท
-4 เมษายน 2566 นายเศรษฐาประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท แสนสิริ เพื่อลุยงานการเมืองเต็มตัว
-5 เมษายน 2566 เพื่อไทย ประกาศ 3 แคนดิเดตนายกฯ นายเศรษฐา เป็น 1 ในแคนดิเดตนายกฯตามคาดร่วมกับอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร และนายชัยเกษม นิติสิริ
-15 พฤษภาคม 2566 นายเศรษฐาเรียกร้องทุกพรรคแสดงสปิริตหนุนพรรคอันดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาล โหวต”พิธา”เป็นนายกฯ
-15 สิงหาคม 2566 พรรคเพื่อไทยมีมติเสนอชื่อนายเศรษฐาเป็นนายกฯ
-22 สิงหาคม ที่ประชุมรัฐสภา เสียงข้างมาก มีมติเห็นชอบนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนที่ 30
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
