หลังจากออกมาก่อเหตุป่วนอย่างต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มทะลุวัง ที่นำโดย เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ทะลุวัง ,สายน้ำ นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ ,ตะวัน ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และสมาชิกใหม่คนล่าสุดคือ หยก ธนลภย์ และยิ่งกรณีล่าสุดที่ บุ้งได้นำหยกไปสร้างความวุ่นวายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ด้วยการขัดขวางขบวนรถนำนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-5-6 สาขาศิลป์ภาษาจีน เดินทางไปเข้าค่ายภาษีจีน จนสังคมเกิดความเอือมระอาอีกครั้ง ฝ่ายที่เคยสนับสนุนยังเบือนหน้าหนี ไม่มีใครมาปกป้อง ที่สำคัญสังคมบางส่วนตั้งคำถามไปยังพรรคก้าวไกลว่า หายไปไหน เหตุใดไม่ออกมาดูแลหรือห้ามปรามคนกลุ่มนี้ เพราะพรรคก้าวไกลที่นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรรค ต่างเคยใช้การเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวัง และหยก ธนลภย์ มาเป็นเครื่องมือหาคะแนนนิยมให้กับตัวเองมาแล้ว ทั้งในเวทีสภาและนอกสภา โดยมีตัวอย่างดังนี้
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 นายพิธาในฐานะเป็นนายประกันของตะวัน ได้อภิปรายในสภาเรียกร้องคืนสิทธิประกันตัวให้กับ แบมและตะวัน ที่เวลานั้นอดอาหารประท้วงในเรือนจำ โดยอ้างว่า ทุกครั้งที่ไปหาตะวันและแบม ตนมองตาตะวันแล้วเห็นพิพิมลูกสาวของตนอยู่ในนั้น ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าวันหนึ่ง เขาอาจเอาชีวิตเข้าไปแลกกับเสรีภาพขั้นพื้นฐานของความเป็นพลเมือง พร้อมเสนอ แผนบันได 3 ขั้นแก้วิกฤตการเมืองได้แก่ คืนสิทธิประกันตัว นิรโทษกรรมคนเห็นต่าง แก้กฎหมายลิดรอนเสรีภาพประชาชน
ต่อมาในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง นายพิธา ได้กล่าวบนเวทีปราศรัยใหญ่เวทีสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมว่า ในขณะที่เรากำลังปราศรัยอยู่ในที่นี้ มีคุณหยกอายุเพียง 15 ปี ถูกฟ้องด้วยมาตรา 112 ถูกจับขังอยู่ ณ ตอนนี้ เขาตอนนี้อายุมากกว่าพิพิมลูกสาวผมครึ่งหนึ่ง ตอนที่พิพิมเกิดเขาอายุเพียงแค่ 7 ขวบ ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ต้องหามาตรา 112 ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย ตนต้องการส่งเสียงไปถึงคนที่เห็นต่าง และตั้งคำถามกันชัดๆว่า ตอนนี้สังคมเรากำลังตั้งกำแพง หรือกังหันลม เมื่อสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกแห่งยุคสมัยมันเปลี่ยนไป