การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่ 11-12 กันยายนถือเป็นไฮท์ไลท์สำคัญในการเปิดประตูเพื่อพิสูจน์การทำงานของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะไปได้ไกลขนาดไหน ซึ่งการแถลงนโยบายในวันดังกล่าวเชื่อว่าพรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคก้าวไกลเตรียมลับมีดรอเชือดรัฐบาลด้วยการส่ง 30 ขุนพลพรรคสีส้มมามาเป็นหัวหอกหลัก ขณะที่ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์กลับถูกจับตามองว่าเป็นพรรคอะไหล่ที่รอเสียบเข้าร่วมรัฐบาลในอนาคตข้างหน้า
ทั้งนี้เชื่อว่าการอภิปรายของฝ่ายค้านน่าจะเข้มข้นดุเดือดเลือดพล่าน เนื่องจากมีความแค้นฝังหุ่นกันมานับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคการเมืองของก้าวไกลล่มสลาย ขณะเดียวกันยังมีกลุ่ม สมาชิกวุฒิสภา ที่มี สว.หลายคน จองคิวอยากอภิปรายแบบ ชำแหละ นโยบายรัฐบาลอย่างเต็มที่เพื่อทิ้งทวนการทำงาน เพราะการแถลงนโยบายรัฐบาลรอบนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายของ สว.ที่จะได้อภิปรายเนื่องจากจะหมดวาระในเดือนพฤษภาคคมปีหน้า
ดังนั้นเชื่อว่า นโยบายที่น่าจะเป็นตำบลกระสุนตกที่ สส.ฝ่ายค้าน และสว.กำลังรออภิปรายชำแหละคาดว่าจะเป็นเรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายหลักของเพื่อไทยที่ใช้หากเสียงมาตั้งแต่ต้น และเชื่อว่ามาถึงตอนนี้ไม่ว่าหัวเด็ดตีนขาดพรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าดำเนินนโยบายดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะเป็นเดิมพันสำคัญของพรรคที่จะล้มเลิกไม่ได้
แต่คำถามคือ การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เมื่อทำแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งปัญหาตรงนี้คือสิ่งที่ฝ่ายค้านจะนำมาชำแหละแจกแจงเป็นข้อ ๆ โดยเฉพาะจำนวนเม็ดเงินมหาศาล 5.6 แสนล้านบาทในการดำเนินนโยบายจะเอามาจากไหน ซึ่งเรืองนี้ยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่แม้แต่พรรคเพื่อไทยเองยังแบ่งรับแบ่งสู้หลังมีข่าวหลุดออกมากว่า เพื่อไทยจะกู้เงินจากแบงค์รัฐวิสาหกิจ เพื่อมาดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งที่ก่อนการหาเสียงพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า เงินดิจิทัลจะไม่มีการกู้เงินอย่างแน่นอน
ดังนั้นในภาวะที่ “หนี้สาธารณะ” ของรัฐบาลที่อยู่ในระดับที่สูงลิ่ว โดยข้อมูลขอสำนักบริหารหนี้สาธารณะ’ (สบน.) พบว่าในช่วงปี 2012-2022 หนี้สาธารณะไทยเพิ่มขึ้นจาก 4.9 ล้านล้านบาท (45.5% ของ GDP) เป็น 10.3 ล้านล้านบาท[1] (60.4% ของ GDP) โดยหนี้สินแต่ละปีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.8% และหากพูดเป็นภาษชาวบ้านให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ปัจจบุนเราหนี้สาธารณะแตะไปถึง 10 ล้านล้านบาทแล้ว และหากจะมีการกู้เพิ่มจะทำให้ประเทศไทยเสียหายขนาดไหน เพราะการกู้เงินเพิ่มควรทำในสถานการณ์จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวน่าจะอยู่ในเป้าหมายหลักของพรรคฝ่ายค้านอย่างแน่นอน