วันที่ 27 ส.ค. 64 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า ผมไม่หิวแสง แต่หิวความยุติธรรมที่ตรงไปตรงมา คดีตำรวจคลุมถุงดำ อย่ากังวลว่าคนทำผิดจะหลุดคดีไป เป็นไปไม่ได้เพียงแต่การตั้งข้อหาต้องตั้งตาม “มูลเหตุจูงใจที่เกิดขึ้น” อย่าตั้งตามกระแส ถ้าตั้งข้อหาตามกระแส แทนที่สังคมจะได้รับความยุติธรรม กลับจะทำให้สังคมเสียความยุติธรรมไปด้วยซ้ำ ตนว่า สตช.เขาไม่เสี่ยงกับเรื่องนี้หรอก เขาตั้งเต็มเหนี่ยวแล้ว เราก็ต้องไว้วางใจคนอื่นบ้าง ยกตัวอย่างว่า เหมือนเราเห็นคนที่เราเกลียดคนหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนในเวลากลางคืน เราขับรถชนเขาตาย ตำรวจจะตั้งข้อหาประมาท หรือข้อหาเจตนาฆ่า หรือข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรอง ไม่ง่ายนะ ตั้งข้อหาผิดแทนที่จะยุติธรรม กลับ “อยุติธรรม” เสียด้วยซ้ำ
นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า ตำรวจทำเรื่องนี้ได้ไม่กี่วันหรอก จากนั้นต้องส่งให้ปปช.หรือ ปปท.ให้เป็นคนไต่สวน มีคนถามตนเยอะ ถามทุกวัน ก็ขอออกความเห็นเพียงแค่นี้ เพราะมันจะกระทบกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ ส่วนที่ทนายความบางคนเขาขัดแย้งกัน เราก็ดูๆ ไป อย่าไปถือสาหาความเขาเลย เขานำเรื่องนี้มาเปิดเผยก็ดีแล้ว เพราะแต่ละคนมีข้อมูลในมือไม่เหมือนกัน เหมือนเรายืนอยู่ในจุดที่ต่างกัน บางคนอาจมองเลข 6 เป็นเลข 9 บางคนอาจมองเลข 9 เป็นเลข 6 ศาลเองยังมีตั้ง 3 ศาล ทนายเห็นต่างกันบ้างมันก็ธรรมดา
นายนิพิฏฐ์กล่าวอีกว่า ตนว่าจะไม่เขียนต่อแล้ว แต่เมื่อคืนเห็นอัยการปรเมศวร์ (อินทรชุมนุม)ไปออกทีวีช่อง 3 บอกว่าทำคดีอาญามา 30 ปี ไม่เห็นด้วยกับนายนิพิฏฐ์ ก็ขอบอกว่าตนก็ทำคดีมา 30 ปีเหมือนกัน ยังไม่ฟันธงเลยว่าควรตั้งข้อหาประเด็นไหน เพราะข้อเท็จจริงตนยังไม่พอ เพียงเตือนให้รอบคอบอย่าทำตามกระแสเท่านั้น ตอนอัยการปรเมศวร์ เมาสุราขับรถชนคนแล้วไม่จอดช่วยเหลือ จนมีคนขับรถตามไปแล้วสกัดจับท่านได้ ตนเห็นว่าควรมีข้อหาชนแล้วหนีด้วย แต่อัยการด้วยกันสั่งไม่ฟ้องข้อหาชนแล้วหนี ถามว่าตนขัดใจไหม ตอบว่า ขัดใจ แต่เมื่ออัยการไม่ฟ้องอัยการด้วยกัน “ความเป็นธรรมก็ยุติ” ตนจะว่าไม่ยุติธรรมก็ไม่ได้เดี๋ยวท่านจะฟ้องเอา ตนก็ต้องกลืนความยุติธรรมที่ระบบของประเทศนี้ประเคนให้ไว้ในอก เห็นไหม เราทำคดีมาคนละ 30 ปี แค่เรื่องขับรถชนคนแล้วหนี ตนกับอธิบดีอัยการปรเมศวร์ยังเห็นต่างกันเลย อย่ามีใครริเอาแสงใส่จานมาวางให้นะ ตนเป็นคนไม่หิวแสง ไม่กินแสง ตรงไป ตรงมา อย่างนี้แหละ