ประชาธิปัตย์ฮึดไม่ขึ้น หลัง “จุรินทร์” ออกโรงซัดรัฐบาลไม่จริงใจยื้อเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ย้อนอดีตปชป.ลืมมองใครเป็นต้นเหตุ ให้เพื่อไทย-ก้าวไกลบินสูง ชนะเลือกตั้ง

ส่องบทบาทประชาธิปัตย์ฮึดไม่ขึ้นหลัง “จุรินทร์” ออกโรงซัดรัฐบาลไม่จริงใจยื้อเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมย้อนอดีต ปชป.ลืมมองใครเป็นต้นเหตุให้เพื่อไทย-ก้าวไกลบินสูงชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แต่ตนเองแทบสูญพันธุ์ ซัด ปชป.ใช่หรือไม่เป็นหัวหอกยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นบัตรเลือกตั้งสองใบ

การออกมาเดินหน้าสับแหลกของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กรณีออกมาเตือนความจำรัฐบาลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าต้องทำเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะเป็นหน้าที่ ซึ่งรัฐบาลจะโยนให้เป็นเรื่องสภาไม่ได้ โดยเฉพาะการมีมติตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาแนวทางจัดทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมองว่าเป็นการยื้อเวลา

 

น่าสนใจยิ่งนักกับการจงใจโยนระเบิดเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญใส่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมโอ่ประโคมว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมให้การสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่แตะ หมวด 1 หมวด 2 แต่นายจุรินทร์ อาจหลงลืมอดีตไปว่า ตนเองและพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนในการทำให้เกิดความหายนะทางการเมือง โดยเฉพาะการเป็นหัวหอกในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวมาเป็นบัตรเลือกตั้งสองใบ โดนทึกทักไปเองว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคใหญ่หากเปลี่ยนกฎเกณฑ์มาใช้บัตรเลือกตั้งสองใบน่าได้ สส.เป็นกอบเป็นกำมากกว่าจะไปพึ่งคะแนนจาก สส.ปัดเศษจากการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว

ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจากบัตรใบเดียวเป็นบัตรสองใบ ว่ากันว่าเกิดจากการสมยอมระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพลังประชารัฐที่ตอนนั้นมีกระแสข่าวว่า หากมีการผลักดันสำเร็จพรรคเพื่อไทยจะเปิดทางให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้าจากดีลลับระหว่างลุงป้อมกับนายทักษิณ ซึ่งตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว เพราะมองออกว่าเป็นการหลงเหลี่ยมเพื่อไทยจากกติกาบัตรสองใบที่เอื้อประโยชน์กับพรรคใหญ่มากกว่า แต่สุดท้ายต้องจำใจยอมทำตามพี่ใหญ่

แต่ที่น่าสนใจคือ นายจุรินทร์ และพรรคประชาธิปัตย์กลับร่วมวงด้วย โดยเป็นเจ้าของร่างยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 81 มาตรา 93 ให้มีบทบัญญัติชัดเจนว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไปต้องเป็นระบบบัตรสองใบคือระบบบัญชีรายชื่อ 100 คนและแบบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 400 คน ซึ่งในตอนนั้นประชาธิปัตย์อ้างว่า เป้าหมายหลักของการแก้ไขเพียงประเด็นเดียว คือ การรื้อระบบเลือกตั้ง สส. โดยให้ยกเลิกระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ใช้ครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วหวนกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2540

ข่าวที่น่าสนใจ

จากนั้นในวันที่ 10 กันยายน 2564 ที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่.. ) พ.ศ. …. (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) ในวาระที่ 3 ด้วยคะแนนเสียง 472 ต่อ 33 งดออกเสียง 187 สนับสนุนการกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ นั่นทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา กระทั่งในวันที่ 21 พ.ย. 64 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564 เพื่อประกาศให้ใช้บัตรเลือกตั้งสองใบแทนการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว

 

สำหรับสาระของรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2564 มีเนื้อหาสำคัญดังนี้ มาตรา 83 และมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กำหนดสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วย สมาชิกจำนวน 500 คน มีสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 350 คน สมาชิกซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง จำนวน 150 คน เป็นจำนวนที่ไม่สอดคล้องต่อจำนวนประชากรในแต่ละเขตเลือกตั้ง

ดังนั้นหากมีการกำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวน 400 คน ก็จะทำให้การดูแลปัญหาของประชาชนมีความใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และการคำนวณคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนแบบบัญชีรายชื่อก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมต่อพรรคการเมืองและต้องเคารพหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงของประชาชน ซึ่งการให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในการเลือกพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตย่อมทำให้ประชาชนได้ใช้เจตจำนงในการเลือกตั้งที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564

 

ภายหลังการประกาศใช้ รธน.ฉบับแก้ไขดังกล่าว นายจุรินทร์ กล่าวว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับที่แก้ไขหรือฉบับใหม่นี้ ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองมากขึ้น เพราะการเลือกตั้งโดยใช้บัตรใบเดียวนั้น ต้องเอาคนกับพรรคมามัดรวมกัน ประชาชนไม่สามารถแยกได้ว่าต้องการเลือกคนแต่ไม่เลือกพรรค หรือเลือกพรรคแต่ไม่เลือกคน

ผลพวงการหลับหูหลับตาของประชาธิปัตย์ทำให้ทุกอย่างไปเข้าทางพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย โดยเฉพาะข้อจำกัดในเรื่อง สส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่ก่อนหน้านี้หากเป็นการใช้บัตรใบเดียว พรรคที่ได้ สส.เขตเกินกว่าได้ สส.พึงมีก็จะไม่ได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ จึงทำให้พรรคขนาดกลาง และขนาดเล็กอยู่ในฐานะได้เปรียบพรรคเพื่อไทย

 

อย่างไรก็ตามเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นระบบบัตรสองใบ แยกกันชัดเจน ระหว่างการลงคะแนนให้กับ สส.เขต และอีกใบ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งกติกาใหม่เอื้อประโยชน์กับเพื่อไทยอย่างมาก จึงทำให้การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ก้าวไกล และเพื่อไทยได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็นกอบเป็นกำ ขณะที่พรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐได้สส.ปาร์ตีลิสต์เพียงหยิบมือ ส่วนประชาธิปัตย์ได้มาแค่ 3 เก้าอี้เท่านั้น และนี่คือบทเรียนอันเจ็บแสบของนายจุรินทร์ และพรรคประชาธิปัตย์มาจนถึงทุกวันนี้…?

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"พิพัฒน์" ตรวจเยี่ยมเอกชน ต้นแบบอุตสาหกรรม ผลิตด้วยเทคโนฯ AI พร้อมเร่งนโยบาย up skill ฝีมือแรงงานไทย
ผู้นำปานามาลั่นคลองปานามาไม่ใช่ของขวัญจากสหรัฐ
จีนไม่เห็นด้วยหลังไทยยืนยันไม่มีแผนส่งกลับอุยกูร์ในขณะนี้
"ดีเอสไอ" อนุมัติให้สืบสวนคดี "แตงโม" ปมมีการบิดเบือน บุคคลอื่น-จนท.รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่
"พิพัฒน์" นำถก "คบต." ลงมตินายจ้างต้องยื่นบัญชีชื่อต้องการแรงงานต่างด้าว ให้เสร็จใน 13 ก.พ.68
ส่องรายได้ "ดิว อริสรา" หลัง "ไผ่ ลิกค์" เฉลยชื่อดาราดัง ปมยืมเงินปล่อยกู้ โซเชียลจับตา รอเจ้าตัวชี้แจง
ศาลให้ประกันตัว "หนุ่มลูกครึ่งอินเดีย" ขับรถชนไรเดอร์เสียชีวิต ตีวงเงิน 6 แสนบาท คุมเข้มใส่กำไล EM ภรรยาผู้ตาย ลั่นไม่ให้อภัย
ทบ.ขานรับนโยบายปราบยาเสพติด เพิ่มทหาร 6 กองกำลัง วัดเคพีไอ 10 กพ.-10 มิ.ย.
ซีพีเอฟ ซีพี-เมจิ ร่วมหนุนสระบุรีแซนด์บ๊อกซ์ "รวมพลังสร้างเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย”
สละเรือแล้ว! "ผบ.อิสราเอล" ยื่น "ลาออก" เซ่นเหตุ 7 ต.ค. ไล่แทงกันในเทลอาวีฟเจ็บ 5

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น