กระแสข่าวยังถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง สำหรับเรื่องราวข่าวฉาวของ พ.ต.อ.ฐิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสววรรค์ ตำรวจนอกรีดที่กลายเป็นเนื้อเดียวกับ “โจร” ไปโดยปริยา เมื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้ปล่อยคลิปลับจากกล้องวงจรปิดภายในสถานีตำรวจภูธรนครสวรรค์ นำเผยแพร่ออกสู่สายตาประชาชน หลักฐานชัด ผู้กำกับโจ้ และลูกน้อง รวม 7 คน ได้กระทำการทารุณกรรม ให้ถุงคลุมหัวผู้ต้องหาคดี ยาเสพติดจนเสียชีวิต
ทีมข่าวท็อปนิวส์ ลำดับไทม์ไลน์ ไล่เรียงข้อมูลย้อนกลับไป สรุปเรื่องราวทั้งหมดได้ว่า จุดเริ่มต้น เกิดขึ้น ในวันที่ 5 ส.ค.2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ ได้ทำการจับกุมนายจิระพงค์ ธนะพัฒน์ พร้อมภรรยา ผู้ต้องหา คดียาเสพติดตรวจค้นพบยาบ้ากว่า 1 แสนเม็ด จากนั้นได้นำตัวมาที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ และแยกสอบสวนคนละห้อง
ณ วันที่เกิดเหตุ มีการให้ข้อมูลว่า ตำรวจชุดผู้กำกับโจ้ ได้มีการรีดไถเงิน จำนวน 1 ล้านบาท เพื่อแลกกับอิสรภาพ ต่อมาเมื่อผู้กำกับโจ้ ทราบเรื่องจึงลงมาจัดการด้วยตัวเอง พร้อมกับขอเพิ่มจำนวนเป็น 2 ล้านบาท แต่ผู้ต้องหายืนยันจะจ่าย 1 ล้านบาท เท่านั้น เหตุนี้เองจึงนำมาสู่เหตุการณ์ตามคลิปวงจรปิด ผู้กำกับโจ้ นำทีมให้ถุงดำมาคลุมหัวผู้ต้องหาชาย จนขาดอากาศหายใจเสียชีวิต ท่ามกลางลูกน้องอีก 6 คน ที่ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้ด้วย
ในวันเดียวกัน ผู้กำกับโจ้ ได้สั่งให้ลูกน้องที่ปรากฏภายภายในคลิป นำศพของ นายจิระพงค์ ธนะพัฒน์ นำส่งโรงพยาบาล พร้อมกำชับให้ลูกน้องบอกแพทย์ว่า “ผู้ต้องหาเสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต” และในส่วนของแฟนสาวที่ถูกแยกไว้คนละห้องตั้งแต่ทีแรก ตำรวจเข้าเจรายอมปล่อยตัว แลกกับไม่พูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เกิดขึ้น และจะไม่ดำเนินคดี กระทั่งต่อมา วันที่ 6 ส.ค.2564 ผลชันสูตรจาก รพ.สวรรค์ประชารักษ์ ออกมาว่า เสียชีวิตจาก แอมเฟตามีน
ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม เรื่องดังกล่าวได้เป็นกระแสดังออกมาจากผู้หวังดีที่อ้างว่าเป็นลูกน้องผู้กำกับโจ้ ที่ทนดูพฤติกรรมต่างๆไม่ไหว แต่ท้ายที่สุด ผู้กำกับโจ้ก็ ปฏิเสธว่าเรื่องทั้งหมด ไม่ใช้เรื่องจริง ตนเองมิเคยก่อเหตุเช่นนั้น ถูกกลั่นแกล้ง และใส่ความ
เรื่องดังกล่าวสอดคล้องกับคำให้การของพ่อผู้ตายที่ระบุว่า เรื่องที่ตำรวจจับยาเสพติดแล้วเรียกเงินลูกชายนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะทางตำรวจ ได้ช่วยเหลือนำตัวลูกชายส่งโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ และทำการเอกซเรย์ปอด พบว่ามีฝ้าในปอด อาการไม่ดีจึงนำตัวส่งโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ หลังจากพูดคุยกับทางคณะแพทย์ พบว่าลูกชายร่างกายไม่มีการตอบสนองแล้ว ซึ่งโดยปกติลูกชายจะมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ เบาหวานเหนื่อยง่าย อ้วน ไม่ได้ถูกซ้อมทรมานจนตาย ตามที่ข่าวออกไป
และสาเหตุที่พ่อของผู้ตายออกมาให้การแบบนี้ ทางตำรวชั้นผู้น้อยได้ให้ข้อมูลอีกว่า เป็นเพราะ ผู้กำกับโจ้ เรียกพ่อผู้ตาย มาเคลียร์คดี ทว่าต่อมา พล.ต.ท. อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผบช.ภ.6 (มีศักดิ์เป็นพ่อตาของ ผกก.โจ้) ได้รับรายงานสอบสวนยืนยันมีเหตุการณ์จริง จึงสั่งเด้ง ผกก.โจ้ มาประจำ ศปก.ภ.6
เช้าวัน ที่ 23 สิงหาคม 64 ผู้กำกับโจ้ ยังคงยืนยันออกสื่อทุกสำนักว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพราะตัวเองถูกกลั่นแกล้ง และไม่เคยทำร้ายรีดไถผู้ต้องหาค้ายาจนเสียชีวิต ตามที่มีคนให้ข้อมูล
ต่อมาวันที่ 24 ส.ค. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ทำให้ความจริงปรากฎชัดเจนขึ้นมา เพราะได้โพสต์คลิปกล้องวงจรปิดขณะผู้กำกับโจ้และลูกน้องลงมือทำร้ายร่างกายผู้ตาย โดยการเอาถุงคลุมหัวจนขาดอาการหายใจแน่นิ่งไป โดย นายษิทรา ระบุข้อความด้วยว่า “ เปิดคลิปผู้กำกับโจ้ คลุมถุงรีดเงิน 2 ล้านฆ่าพ่อค้ายา “ผมได้รับคลิปนี้มาจากตำรวจชั้นผู้น้อยขอให้ผมช่วยนำคลิปนี้มอบให้แก่ ผบ.ตร. ฝากบอกผมว่าให้ช่วยตามคดีนี้ก่อนที่พวกตนจะถูกฆ่า ผมเห็นคลิปนี้แล้วพูดไม่ออก นี่เป็นสิ่งที่ทำกับคนด้วยกันเหรอ ผู้ต้องหาผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่ตำรวจทำอย่างนี้ไม่ต่างกับโจรในเครื่องแบบ ขอให้ทุกคนดูความโหดเหี้ยมด้วยสายตาตัวเองนะครับ
ภายหลังคลิปดังกล่าวได้ถูกแพร่สพัดลงในโซเชียลมีเดีย ปรากฏว่า ไม่มีใครสามรถติดต่อผู้กำกับโจ้ได้อีก ท่ามกลางข่าวลือสะพัดหลายทิศทาง โดยเฉพาะข้อมูลที่ออกมาอย่างต่อเนื่องว่า “ผู้กำกับโจ้” ได้หนีออกช่องทางธรรมชาติไปยังประเทศเพื่อนบ้านแล้ว
ในส่วนแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เช็คข้อมูลเส้นทางหลบหนีของโจ้ จากกล้องวงจรปิดตัวแรก เมื่อเวลา 15.00 น. ของ วันที่ 24 สิงหาคม 64 เวลา พบว่า ภาพในกล้องเห็นรถมินิคูเปอร์ ของผู้กำกับโจ้ วิ่งอยู่บนเส้นถนนรามอินทา แถวหมู่บ้านปัญญา เพื่อมุ่งหน้าขึ้นทางด่วนมอเตอร์เวย์ กระทั่งกล้องวงจรปิดตัวที่ 2 จับภาพได้อีกครั้งบริเวณทางขึ้นมอเตอร์เวย์ กระทั่ง กล้องวงจรปิดตัวที่ 3 จับภาพได้ตอนลงทางด่วนที่ชลบุรี
วันที่ 25 สิงหาคม ข่าวลือยังสะพัดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันว่า ผู้กำกับโจ้ ได้หลบหนีไปยังประเทศเมียนมา บางข่าวก็บอกว่า หนีไปอยู่ในประเทศกัมพูชา ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ ตั้งชุดเฉพาะกิจไล่ล่า ขึ้นมา 3 ทีม โดยทีมแรก เป็นของ พล.ต.ต.จักรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. ทีมที่ 2 พล.ต.ต.นพศิลป์ พูนสวัสดิ์ ผบก.สส.ภ.7 และทีม 3 พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.ปส.3
ต่อมาในช่วงสายของ วันที่ 26 สิงหาคม มีกระแสข่าวสะพัดออกมาว่า ขณะนี้ ผู้กำกับโจ้ ได้มีการจำนน กับชุมจับกุมของกองปราบปราม โดยสามรถคุมตัวได้ที่เมียวดี ประเทศเมียรมา กระทั่งช่วงเย็นวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาให้ข้อมูลว่า สามาถควบคุมตัวผู้กำกับโจ้ได้แล้ว จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ที่กองบังคับการปราบปราม กรุงเทพมหานคร เวลา 21.30 น.
อย่างไรก็ตามระหว่างการแถลงข่าว พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง ผบช.ภ.6 เปิดเผยถึงการมอบตัวของ ผู้กำกับโจ้ อดีตผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ว่า ว่าเมื่อคืนนี้ (25 ส.ค.)เวลา 23:00 น. มีโทรศัพท์เข้ามาหาตนเขาก็บอกว่า “พี่เอกครับ ผมโจ้ผมไม่ไหวแล้ว ผมจะฆ่าตัวตาย” ตนก็บอกไปว่า “หากตายแล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเหลืออะไร ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริงกลับมารับผิดชอบในสิ่งที่ทำ กลับมาชี้แจงสังคม ถ้าคุณเป็นตำรวจ คุณต้องมีเกียรติ ผิดก็ต้องยอมรับผิด การหนีไปไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นมามีแต่จะทำให้เลวร้าย”
จากนั้น ผกก.โจ้ก็บอกว่า “พรุ่งนี้พี่มารับผมที่จังหวัดชลบุรี” ตนก็ได้นำเรียนท่านผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 และท่านก็ได้นำเรียนผบ.ตร.และได้รับอนุมัติให้เดินทางก็ออกมาจากจังหวัดพิษณุโลกประมาณ 9:00 น. ของวันที่ 26 ส.ค. จากนั้นมีโทรศัพท์ ผกก.โจ้ โทร มาอีกครั้งประมาณเที่ยงกว่าๆถามว่า “พี่มารับผมหรือไม่”
ตนก็ตอบไปว่า “กำลังไป”
เวลาต่อมา ผกก.โจ้ ถามตนว่า “ถึงไหนแล้ว” ตนก็ตอบไปว่า ” 2-3 ชั่วโมงถึง” ผกก.โจ้ ก็บอกว่า” 16:00 น พี่มายืนรอที่หน้าสถานีตำรวจภูธรแสนสุข ขอให้ยืนคนเดียวอย่ามีอาวุธ ” ตนจึงรับปากไปและแต่งเครื่องแบบไปยืนอยู่ในจุดที่นัดหมายประมาณ 15 มีรถเก๋งคันสีขาวเข้ามาจอดและมีคนใส่แมสเดินลงมา แล้วมาบอกว่าผมคือโจ้ เมื่อหันไปอีกทีรถเก๋งดังกล่าวก็วิ่งไปแล้วไม่ได้ดูเลขทะเบียน จากนั้นตนจึงเข้าไปที่สถานีตำรวจภูธรแสนสุขไปลงบันทึกประจำวันและนำเรียนผู้บังคับบัญชาเพื่อรายงาน ผบ.ตร. ให้รับทราบและนำตัวผู้กำกับโจ้มาส่งสำนักงานสอบสวนที่กองปราบ
และสำหรับเส้นทางการหลบหนีนั้น ทราบต่อมาว่า หลังก่อเหตุกับผู้ต้องหา ผกก.โจ้หลบมาอยู่บ้านที่ รามอินทรา ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.หลังจากนั้นเฝ้าติดตามข่าวจนคลิปวงจรปิดถูกเผยแพร่ ในวันที่ 24 ส.ค. จึงตัดสินใจหนีไปที่ ชลบุรี โดยใช้เส้นทางจากบ้านรามอินทรา มุ่งหน้า ชลบุรี ไปหลบที่บางแสน เจ้าหน้าที่ชุดติดตาม แกะรอยจากกล้องวงจรปิด และติดตามไปถึง บางแสน ด้าน ผกก.โจ้ พอรู้ตัวว่าถูกตามกระชั้นชิด เลยตัดสินใจไปลงบันทึกประจำวันที่ บางแสน และให้กองปราบฯ มารับตัว