ย้อนอดีตเคราะห์กรรม “บิ๊กโจ๊ก” สู่มรสุมใหม่บนชุดสีกากี

ส่วนมูลเหตุหลายฝ่ายเชื่อมโยงไปถึงความขัดแย้ง กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในขณะนั้น เกี่ยวกับโครงการ จัดซื้อเครื่องตรวจพิสูจน์บุคคลแบบลายพิมพ์นิ้วมือ และภาพถ่ายใบหน้า หรือ ไบโอเมตริกซ์ วงเงินกว่า 2.1 พันล้านบาท ซึ่งเดิมทีโครงการไบโอเมตริกซ์อยู่ในความดูแลของสำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง ซึ่งขณะนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นผู้บัญชาการอยู่ แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เลือกหยิบโครงการนี้ไปจัดการเสียเอง และได้บรรจุให้เป็นหนึ่งในโครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานส่งกำลังบำรุง ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างจาก บ.เอกชน เมื่อปี 2560 โดยแบ่งระยะงานออกเป็น 6 งวด

ทว่าการส่งมอบไบโอเมตริกซ์ พบว่า งวดที่ 1 เลยกำหนดการส่งมอบ 30 วัน งวดที่ 2 เลยกำหนดการส่งมอบ 106 วัน งวดที่ 3 เลยกำหนดการส่งมอบ 177 วัน งวดที่ 4 เลยกำหนดการส่งมอบกว่า 9 เดือน งวดที่ 5 ต้องส่งมอบภายในวันที่ 4 ต.ค. 2561 และงวดที่ 6 ต้องส่งมอบภายในวันที่ 2 พ.ค. 2562 แต่ประเด็นสำคัญคือการส่งมอบงานบางงวด “เอกชน” ยังไม่สามารถส่งมอบงานตามกำหนด แต่ สตช. เซ็นตรวจรับงานให้ก่อน เพื่อไม่ให้ “เอกชน” เสียเงินค่าปรับวันละ 5 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้ทำให้ทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส่งหนังสือไปยัง ผบ.ตร. คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ขอยกเลิกโครงการไบโอเมตริกซ์ แต่ถูกมือมืดกันท่าเอาไว้

กระทั่งวันที่ 6 มกราคา 2563 รถยนต์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกคนร้ายลอบยิงขณะจอดอยู่บริเวณหน้าร้านแห่งหนึ่ง บนถนนสุรวงศ์ ที่เกิดเหตุพบรอยกระสุนที่ตัวรถถึง 7 นัด แต่โชคดีที่ขณะเกิดเหตุ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้อยู่ในรถ ซึ่งชนวนเหตุ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยด้วยตัวเองว่า รถของตนเองที่ถูกยิงน่าจะมาจากประเด็นเดียว คือ ผู้สูญเสียผลประโยชน์ในโครงการ “ไบโอเมทริกซ์” (ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้า) ซึ่งสมัยที่ตนเป็น ผบช.สตม.ได้ทำการยกเลิกไป และเป็นประเด็นอยู่ทุกวันนี้ เนื่องจากไม่ได้ประสิทธิภาพ และไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการจัดซื้อจัดจ้าง