เมื่อวันที่ 28 ส.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กหลังพ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผลคดี หรือผู้กำกับโจ้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่า “ดีลลับ โจ้พลิกลิ้น ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อิทธิฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ เบื้องหลังการจับกุม “โจ้ มือคลุมถุงฆ่า” ด้วยเหตุที่มีแบ็คผู้ใหญ่ดี จึงมีการตกลง “ดีล” สำคัญในการมอบตัว ชนิดที่ว่าจู่ๆ อดีตผู้กำกับฯโจ้ ก็เหาะมาปรากฎตัวที่บางแสน มอบตัวคนเดียว ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบว่ามาได้ไง ใครพามา จำอะไรไม่ได้ แรกๆ ไหนว่าข้ามชายแดนไปเมียวดีพม่าแล้ว ข่าวหลอกตามเคย ที่แท้ไม่ได้ไปไหน อยู่กรุงเทพฯ นั่งวางแผนในบ้านผู้ใหญ่นี่เอง พอถึงเวลาก็ขับออกจากกรุงเทพฯ ไปสภ.แสนสุข บางแสน จังหวัดชลบุรี แค่ครึ่งชั่วโมงถึง ไม่เสี่ยงผิดคิวอีก ข้อต่อสู้คดีที่สำคัญอยู่ที่ “กระทำการเพื่อขยายผลในการค้นหายาเสพติดรายใหญ่” ไม่ได้มีเจตนาฆ่า เพราะที่คลุมถุงเพียงเพื่อไม่ให้จำหน้าได้ ไม่ต้องการให้ตาย แถมยังช่วยเหลือด้วยการปั๊มหัวใจ ต่อจากนี้ จึงเป็นกระบวนการกฎหมายที่มี “อิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์” เข้ามาอีกมาก เริ่มจากคดีที่มีคนตายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ จะต้องมีการ “ไต่สวนการตาย” สำนวนชันสูตรพลิกศพ ต้องส่งให้ศาลไต่สวนก่อนตามกฎหมาย แม้ศพจะถูกเผาไปแล้วก็ตามเหมือนกรณี 6 ศพที่วัดปทุมฯ อัยการต้องทำสำนวนการชันสูตรพลิกศพร่วมกับตำรวจด้วยเพื่อความโปร่งใส และให้เสร็จภายใน 30 วัน ตามกฎหมายอีก เมื่อสำนวนชันสูตรพลิกศพเรียบร้อย (แม้ไม่มีศพให้ชันสูตรเพราะเผาไปแล้ว) อัยการต้องส่งสำนวนให้ศาลไต่สวนการตาย”
“อดีตผู้กำกับโจ้ เป็นตำรวจ ถือเป็นเจ้าพนักงาน หากกระทำผิดต่อหน้าที่ เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ทำคดี แต่โดยปกติ ป.ป.ช. ไม่รับทำเรื่องแบบนี้ เพราะกำลังคนและความเชี่ยวชาญไม่มี ป.ป.ช. ถนัดแต่คดีเอกสาร เช่น การฮั้วประมูล ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนการยื่นฟ้อง ต้องฟ้องไปยังศาลคดีทุจริต ซึ่งคงต้องหารือกันว่าไปศาลทุจริตกลาง หรือศาลทุจริตภาค 6 ที่เกิดเรื่อง คงต้องหารือกันอีกที อัยการจะเป็น “กลจักรกฎหมาย” สำคัญ ที่ต้องร่วมกับตำรวจในการทำคดีนี้ และ ป.ป.ช. ต้องมีมติชัดว่า “ไม่ดำเนินการเอง ให้ดำเนินคดีตาม ป.วิอาญา กฎหมายปกติ” คดีนี้มีแต่ตำรวจกระทำความผิดที่ล้วนอยู่ในหน่วยเดียวกัน แม้ปรากฏในคลิปชัดเจน แต่ไม่มีพยานบุคคลอื่นใด “ดีลของโจ้” มามอบตัวแล้วตีบทแตก ยอมให้พูดกับผู้สื่อข่าวว่า “ขยายผลเรื่องยาเสพติดรายใหญ่ ไม่ได้มีเจตนาฆ่า ลูกน้องไม่เกี่ยว นายสั่งไม่มี เรื่องทุจริตไม่เคย” เพื่อกันไว้รับจบที่ตัวเองคนเดียว อีกทั้งกระทำเป็นครั้งแรก ไม่ได้เอาถุงคลุมเพื่อฆ่า แต่มีเจตนาไม่ต้องการให้เห็นหน้า เพราะผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพล เครือข่ายใหญ่ ต้องการขยายข้อมูลยาเสพติดเพิ่มเติม จึงเป็นการกระทำผิดพลาดพลั้งมือ หาใช่เจตนาฆ่าให้ตายด้วยการทรมานหรือไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ ติดคุกน่ะติดแน่ แต่ด้วยโจ้ “กำของดี” ในมือไว้มาก และไม่โบ้ยแฉทั้งลูกน้อง ทั้งนายทำงานเป็น “ลูกรัก” ด้วย เก่งวิธีเอาใจผู้ใหญ่ จัดให้สม่ำเสมอ ที่สำคัญยังมีเหลืออีกบานเบอะ หากรับจบคนเดียว “ยอมเจ็บอย่างเสือ ไม่เห่าอย่างหมา”
“ด้วยอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ของกระบวนการกฎหมายใช้ “เป่าเสก” คาถา “นโมหาย ธรรมโมรอด” มีให้เห็นมานักต่อนัก ไม่ว่าทั้งคดีบอส คดีกำพลวิคตอเรีย ที่ตอนนี้หายตัวไปหมด และหากไม่มีใครกระตุก ป่านนี้กลับมาเดินเล่นที่เมืองไทยกันแล้ว แม้แต่ขนาด “มันคือแป้ง” ยังอยู่กระหึ่มก้องในโสตประสาทคนไทยและเทศ แถมยังมีอีกมากที่ไม่เห็นเป็นข่าว เหล่านี้ล้วนเป็นอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ทั้งสิ้น ว่ากันว่า “เสือย่อมไม่กินเนื้อเสือฉันใด ตำรวจย่อมไม่ฆ่าตำรวจที่ตามจับคนร้ายขายยา แล้วพลั้งมือท่ายาก ทำการปั๊มหัวใจไม่เป็น ทั้งมีเจตนาเอาข้อมูลขยายผล สกัดตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่เพื่อปกป้องสังคมเยาวชน ฉันนั้น” แบบนี้แล้ว จะไม่เห็นใจคนทำงานกันบ้างหรือ ดีลอาจจบที่คุกแน่ แค่ไม่นานเกินรอ แล้วกลับมาทำงานเป็นมือไม้เบื้องหลังได้ ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะไม่ได้ไปฆ่าคนดีตายเสียที่ไหนคนตายมันขายยาฆ่าลูกหลานคนไทย อย่างนี้นี่เองโจ้ถึงยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และใช้สิทธิต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมาย ที่ยังอีกยาวไกล แบบนี้เรียก “รู้งาน” สถานการณ์ตอนไหนต้องเร็ว และตอนไหนต้องช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ติดคุกน้อย ออกเร็ว ดีลจบลงด้วยการออกมาแบบ วิน-วิน จับตัวโจ้ได้ นำมาแถลงข่าวพร้อมยอมรับต่อหน้ากล้องและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่ถึงเวลากลับไม่รับสารภาพ ปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอสู้คดี ทั้งที่หลักฐานภาพชัดเป็นประจักษ์พยาน เพราะหากไปยอมรับสารภาพก็จบเร็ว จบหนัก หาใช่ที่ตกลงกันไม่ว่าจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย”