ชวนรู้จัก "ดาวหางฮัลเลย์" ผ่านเนื้อหาเพลงในมุมมองประวัติศาสตร์และดาราศาสตร์
ข่าวที่น่าสนใจ
รู้จัก “ดาวหางฮัลเลย์” (Halley’s Comet)
- มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า 1P/Halley นับเป็นดาวหางที่มีชื่อเสียงที่สุด และมีหลักฐานบันทึกการพบเห็นมานานแล้วกว่า 2,000 ปี
- ตั้งชื่อตาม เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ (Edmond Halley) นักฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้เป็นคนแรกที่สามารถคำนวณคาบของดาวหาง ฮัลเลย์ได้ในปี ค.ศ. 1705
- ในปี 1687 เป็นปีที่ไอแซค นิวตัน (Isaac Newton) ได้ตีพิมพ์ผลงานที่มีชื่อว่า Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica หรือที่เรารู้กันในชื่อ กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน อันโด่งดัง ที่หลายคนน่าจะเคยได้เรียนกันในวิชาฟิสิกส์ระดับ ม.ปลาย
- โดยในขณะนั้นฮัลเลย์ก็นับเป็นหนึ่งในคนใกล้ชิดของนิวตัน ซึ่งฮัลเลย์สนใจในเรื่องแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ว่า แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ทั้ง 2 ดวงนี้ จะส่งผลต่อวงโคจรของดาวหางอย่างไรบ้าง
ปฏิทินจากนี้มีไว้เพื่อนับวัน นาฬิกามีไว้เฝ้าคอยนับนาที
- ในปี 1705 ฮัลเลย์ได้นำข้อมูลบันทึกตำแหน่งของดาวหางตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงศตวรรษที่ 17 มาคำนวณด้วยกฎของนิวตัน แล้วพบว่า มีดาวหาง 3 ดวงที่เคยปรากฏตัวในปี ค.ศ. 1531, 1607 และ 1682 ที่มีค่าคุณสมบัติในวงโคจรที่เหมือนกัน จึงสรุปว่า นี่คือ ดาวหางดวงเดียวกันและจะโคจรกลับเข้ามาใกล้โลกทุก ๆ 74 – 79 ปี
- โดยในปี 1682 นั้น เป็นปีที่ฮัลเลย์สังเกตการณ์และบันทึกข้อมูลของดาวหางดวงนี้ด้วยตัวเอง และฮัลเลย์ทำนายว่า ดาวหางดวงนี้จะโคจรเข้ามาใกล้โลกอีกครั้งในปี 1758
- ผลปรากฏว่าในปี 1758 นั้น มีดาวหางปรากฏให้เห็นด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้าจริง ๆ
- แต่สุดท้ายแล้ว เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ก็ไม่ได้มีโอกาสได้มองเห็นดาวหางดวงนี้ด้วยตาตัวเองอีกเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจาก เขาได้เสียชีวิตลงในปี 1742 ดาวหางดวงนี้จึงเป็นดาวหางดวงแรกที่จัดอยู่ในประเภทดาวหางคาบสั้น (คาบการโคจรสั้นกว่า 200 ปี)
- และเพื่อเป็นเกียรติให้กับเอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ จึงตั้งชื่อดาวหางดวงนี้ว่า “ดาวหางฮัลเลย์” นั่นเอง
ยังมีเพลงรักเป็นพันบทเพลงรอแชร์ให้เธอได้ฟัง
ที่กำลังโด่งดังในช่วงนี้ ไม่ใช่ผลงานทางด้านศิลปะชิ้นแรกที่มีความเกี่ยวข้องกับดาวหาง ฮัลเลย์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ดาวหางดวงนี้มีบันทึกการพบเห็นมาตั้งแต่ในสมัยโบราณกว่า 2,000 ปีที่แล้ว พบงานศิลปะสมัยโบราณ เช่น
- บันทึกยุคจีนโบราณเมื่อ 200 ปีก่อนคริสตกาล
- Bayeux Tapestry พรมหนังผ้าความยาว 70 เมตร
- ในยุคศตวรรษที่ 11 Eadwine Psalter
- หนังสือที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมสดุดีของศาสนาคริสต์ในช่วงศตวรรษที่ 12 เป็นต้น
โดยในสมัยนั้นมีความเชื่อกันว่า ดาวหางเป็นลางบอกเหตุร้าย เพราะเมื่อใดก็ตามที่ดาวหางปรากฏบนท้องฟ้า จะนำมาซึ่งความปราชัยในศึกสงครามเสมอ
จากข้อมูลการศึกษาทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นักดาราศาสตร์พบว่า ดาวหาง ฮัลเลย์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 11 กิโลเมตร มีคาบการโคจรเฉลี่ย 76 ปี มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี
ซึ่งแต่ละรอบจะมีคาบการโคจรไม่เท่ากัน เนื่องจากวงโคจรถูกรบกวนโดยแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ โดยธรรมชาติของดาวหางนั้น มีลักษณะเป็นก้อนน้ำแข็งสกปรกในอวกาศ
มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นโมเลกุลที่ระเหิดได้ง่าย เช่น
- น้ำ
- มีเทน
- แอมโมเนีย
- คาร์บอนไดออกไซด์ ปะปนอยู่กับเศษหินและฝุ่น
ทุก ๆ ครั้งที่ดาวหางโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ ดาวหางจะได้ปริมาณรังสีที่เพิ่มสูงขึ้นมาก โมเลกุลของสสารเหล่านี้จะระเหิดเป็นแก๊สที่ฟุ้งกระจายไปในอวกาศ มีทิศทางตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ เกิดเป็นหางของดาวหางที่สวยงามขึ้นมานั่นเอง
ขออยู่ในชีวิตที่เหลือของเธอได้ไหม อยากลืมตาแล้วได้พบเธอจนวันสุดท้าย
ดาวหาง ฮัลเลย์โคจรเข้ามาเฉียดดวงอาทิตย์ครั้งล่าสุดเมื่อปีเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1986 และจากการคำนวณคาดว่า ครั้งถัดไปดาวหางจะเฉียดดวงอาทิตย์ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2061 ดังนั้น ในอีก 38 ปีข้างหน้า เราก็น่าจะได้เห็นหนึ่งในดาวหางที่สวยงามและสว่างที่สุด กลับมาปรากฏบนท้องฟ้าให้พวกเราได้ชื่นชมกันอีกครั้ง
แม้ว่าดาวหางฮัลเลย์จะโคจรมาให้เราได้ยลโฉมในทุก ๆ 76 ปี แต่ทุก ๆ ครั้งที่เคลื่อนที่เข้ามา รังสีจากดวงอาทิตย์จะทำให้ดาวหางสูญเสียมวลของตัวเองไปเรื่อย ๆ และมีขนาดเล็กลง 1-3 เมตรในแต่ละรอบ จนในที่สุดเมื่อมวลสารส่วนที่เป็นน้ำแข็งสลายตัวจนหมดไป ดาวหาง ฮัลเลย์ก็จะไม่ได้มีหางที่สวยงามเหมือนที่เราเคยเห็นในอดีต กลายเป็นเพียงก้อนหินมืดดำในอวกาศ หรืออาจแตกสลายกลายเป็นเศษฝุ่นที่ยังคงโคจรอยู่รอบ ๆ ดวงอาทิตย์ต่อไปเพียงเท่านั้น
นอกจากนี้ ในระหว่างที่ดาวหาง ฮัลเลย์โคจรและทิ้งเศษหินและฝุ่นไปในอวกาศนั้น เมื่อโลกโคจรตัดผ่าน แรงโน้มถ่วงของโลกจะดึงเอาเศษหินและฝุ่นเหล่านี้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เกิดการเผาไหม้เป็นดาวตก เป็นต้นกำเนิดของฝนดาวตกออไรออนิดส์ (Orionids) ที่จะเกิดขึ้นประจำในช่วงเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี
โดยในปี 2023 นี้ ฝนดาวตกโอไรออนิดส์จะมีอัตราการตกสูงสุดตรงกับคืนวันที่ 21 ตุลาคม จนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 22 ตุลาคม ศูนย์กลางการกระจายตัวอยู่ที่กลุ่มดาวนายพราน (Orion) มีอัตราการตกประมาณ 20 ดวงต่อชั่วโมง
เรียบเรียง : ธนกร อังค์วัฒนะ – เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร.
ข้อมูล : NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง