วันที่ 1 พ.ย.66 ที่รัฐสภา นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายเชตวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล แถลงข่าวประเด็นการเสนอกฎหมายยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และท่าทีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในเรื่องนี้ โดยนายรอมฎอน กล่าวว่า ในนามพรรคก้าวไกล ตนเป็นตัวแทนยื่นร่างกฎหมายยุบ กอ.รมน.นี้ เรียกว่าเป็นกฎหมายชุดแรกของพรรคก้าวไกลที่มีการยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 18 ก.ค. โดย พ.ร.บ. การยกเลิก กอ.รมน. เป็น 1 ใน 5 ร่างกฎหมายเปลี่ยนประเทศ หัวใจสำคัญ
ข่าวที่น่าสนใจ
นายรอมฎอน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ยังมีการพูดถึงเรื่องการบริหารราชการโปร่งใส ซึ่ง กอ.รมน. มีข้อถูกเถียงถึงการใช้งบประมาณที่เกินจริง ไม่โปร่งใส มีบัญชีผี ข้อสงสัยเหล่านี้ถูกสงสัยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยังไม่รวมถึงกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ทิศทางการแก้ไขปัญหาในภาคใต้ การขยายความขัดแย้งที่นำโดยทหาร มันเลยจำกัดโอกาสและทางเลือกในการแสวงหาจุดบรรจบที่ลงตัวระหว่างรัฐและประชาชน” นายรอมฎอน กล่าว นายรอมฎอน ยังมองว่า กอ.รมน. เป็นสมบัติตกทอดจากสงครามเย็น มองประชาชนเป็นภัยคุกคาม พรรคก้าวไกลได้มีการติดตามตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานความมั่นคงมาโดยตลอด ซึ่ง กอ.รมน. ก็เป็นหน่วยงานที่ถูกจับตาอย่างหนัก ทั้งเรื่องงาน ข่าวสาร เราพบว่าการพยายามด้วยค่ามลทิน ส่งผลให้คนไม่เชื่อมั่นต่ออำนาจรัฐ ส่งผลไปถึงการเมืองที่พยายามโน้มน้าว จัดสรรผลประโยชน์ มีการสร้างจุดมุ่งหมายต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงจะถูกผูกขาดโดย กอ.รมน. และพยายามจัดวางให้ผู้คิดต่างเป็นศัตรูคู่อาฆาต “มีคนกล่าวหาโจมตีผมเป็นผู้แบ่งแยกดินแดนด้วยซ้ำ ถ้าเรื่องนี้เราปล่อยให้หน่วยงานที่มีกรอบคิดแบบนี้ทำงานอยู่ เราก็จะตัดโอกาสของสังคมไทยในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง เราอาจจะต้องมองความขัดแย้งเป็นโอกาสที่เราจะสามารถใช้ปัญญาในการถกเถียงกัน” นายรอมฎอน กล่าว นายรอมฎอน ระบุว่า กอ.รมน.ควรทำหน้าที่ของรั้ว ไม่ใช่เอารั้วมาอยู่ในห้องนั่งเล่น ในห้องนอนของพลเรือน หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้มีท่าทีออกมาไม่เห็นด้วยกับการยุบ กอ.รมน. ปัจจุบันนี้ตัวร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกวินิจฉัยตีความโดยประธานรัฐสภาว่าเป็นร่างว่าด้วยเกี่ยวกับการเงิน ตามมาตรา 133 ของรัฐธรรมนูญ ต้องให้นายกรัฐมนตรีให้คำรับรอง เหตุผลเบื้องหลังมาตรานี้ทำให้ฝ่ายบริหารได้มีเสียงในการที่จะพิจารณา มองว่านายกรัฐมนตรีควรเปิดโอกาสให้กลไกรัฐสภาที่ได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญได้มีการถกเถียง
“ผมเข้าใจว่าประเด็นนี้แม้กระทั่งในพรรคร่วมรัฐบาลเองก็อาจจะเห็นต่าง นายอดิศร เพียงเกษ ประธานวิปรัฐบาล ก็ทวิตที่จุดยืนที่แตกต่างจากนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สส.ที่ชนะการเลือกตั้งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ผมเห็นว่าได้รับเสียงตอบรับเยอะมาก เพราะฉะนั้นผมอาจจะเชื่อว่าเพื่อนสมาชิก สส.ที่มาจากจังหวัดภาคใต้ อาจจะมีท่าทีที่เห็นต่างออกไปจากนายกรัฐมนตรี อาจจะต้องฟังเหตุผลของเขา นี่คือเหตุผลที่อยากจะเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีให้คำรับรองต่อร่างกฏหมายฉบับนี้ และเปิดทางให้สภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาต่อไปว่าเรื่องนี้ได้ ซึ่งการไม่เปิดโอกาส อาจทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลพลเรือนที่มีอำนาจเหนือกว่ากองทัพดูมัวหมองไป” นายรอมฎอน กล่าว
นายรอมฎอน ยังยกตัวอย่าง เว็บไซต์ของสภาผู้แทนราษฎรที่มีการสำรวจความเห็นเรื่องนี้ในโลกออนไลน์ หลายคนไม่เห็นด้วย ดังนั้น นายกรัฐมนตรีไม่ควรกังวล ตนอยากจะเสนอแนะ 2 ข้อคือ ทางแรกคือการยกเรื่องนี้ไปพูดคุยกันใน คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งเป็นการพูดถึงบทบาทของภาคประชาชนในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ขณะที่นายเชตวัน กล่าวด้วยความผิดหวังว่า จากการที่รับฟังคำสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี และนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มองว่า จะเป็นการขยายบทบาทของกองทัพในการยุ่มย่ามกับงานสาธารณะ ทั้งที่นายสุทินเคยออกมายอมรับว่ากองทัพมีการใช้ io ดังนั้น หากมองว่าเพื่อนร่วมชาติเป็นข้าศึก เป็นคอมมิวนิสต์ แต่รอบนี้ไม่มีคอมมิวนิสต์แล้ว เรากลับมีข้อกล่าวหาเรื่องชังชาติหรือล้มสถาบัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง