วันนี้ (8 พ.ย.66) นายนิกร จํานง ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เปิดเผยภายหลังการหารือกับกลุ่มนักศึกษาถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เราตั้งใจหารือกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นผู้ใช้รัฐธรรมนูญนานกว่าคนรุ่นของตนเอง โดยวันนี้เชิญกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มราษฎร 63 ที่เคยจัดชุมนุมและให้ความเห็นเรื่องการทำประชามติ โดยเราได้ส่งคำถามที่ใช้ถามต่อสมาชิกรัฐสภาให้กับกลุ่มนักศึกษาที่เข้ามาพูดคุยด้วย เพื่อดูว่ามีความเห็นอย่างไร และทดสอบคำถามไปในตัวด้วย ทั้งนี้เมื่อได้มติจากคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นแล้ว จะนำคำถามเหล่านี้ไปสอบถามต่อสมาชิกรัฐสภา 750 คน เมื่อมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร
"นิกร" ห่วงประชามติแก้รธน. คนออกใช้สิทธิไม่ถึงครึ่ง โยนสภาแก้กม.ให้คลี่คลาย
ข่าวที่น่าสนใจ
โดยจะขออนุญาตนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เสนอเรื่องนี้เข้าไปในที่ประชุม สส.และ สว. คาดว่าจะเข้าที่ประชุม สส.ในวันที่ 13-14 ธ.ค.66 และเข้าที่ประชุม สว.ในวันที่ 18-19 ธ.ค.66 จากนั้นจึงจะประชุมในวันที่ 22 ธ.ค.66 กับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ
เพื่อให้ได้ข้อสรุป จากที่ได้หารือกับนายวุฒิสาร ตันไชย ประธานอนุกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติ ซึ่งเมื่อเช้าเชิญ กกต. มาหารือ กกต.ได้สอบถามค่าใช้จ่ายในการทำประชามติ ที่ประชุมจึงเสนอจํานวน 3,250 ล้านบาท และอาจจะต้องใช้แอปพลิเคชัน เนื่องจากเราไม่มีเครื่องมือ และอาจต้องใช้งบสูงถึง 10,000 ล้านบาท ส่วนที่มีข้อเสนอให้ทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งอื่น ๆ พบว่ามีข้อกฎหมาย 3 ฉบับซ้อนกัน ดังนั้นหากมีการสอบถามความเห็นการทำประชามติในขั้นตอนแรกก็คงไม่ทัน เพราะต้องรอไปถึงเดือน พ.ย.67 แต่อาจจะทําซ้อนได้ในการทําประชามติครั้งที่ 2 นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องกฎหมายที่ใช้ทำประชามติ กำหนดให้มีเสียงข้างมาก 2 ชั้น เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ประชาชนใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของทั้งหมด เท่ากับ 20 กว่าล้านคน ทำให้มีข้อกังวลว่าเมื่อไม่ใช่การเลือกตั้ง สส. จะทำให้การออกมาของประชาชนเป็นเรื่องยาก การที่ประชาชนจะออกมาเกินกึ่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มีโอกาสจะเดี้ยง เพราะในกึ่งหนึ่งนั้นจะต้องมีส่วนเห็นชอบด้วยกึ่งหนึ่ง โดยการทำประชามติครั้งแรกอาจได้รับความสนใจ แต่ในรอบ 2 ประชาชนจะเข้าใจในมาตรา 256 เรื่องการตั้ง ส.ส.ร.หรือไม่ อาจเป็นตัวเร่งให้ทำซ้อนพร้อมกับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) แต่อาจจะตกม้าตาย เพราะประชาชนออกมาไม่ครบ จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าหากกฎหมายทําประชามติมีปัญหาก็ต้องแก้ เป็นเรื่องที่สภาฯ ต้องไปคุยกัน แต่คณะอนุฯ ของเราไม่รอ จะทำตามกฏหมายที่มีอยู่ ส่วนการแก้ไขกฎหมายประชามติ คงใช้เวลาไม่นาน เพราะถ้าแก้กฎหมายทําประชามติแล้ว ก็น่าจะเริ่มขั้นตอนถามความคิดเห็นจากประชาชนเรื่องการทําประชามติในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.67 ส่วนตัวมองว่าทำไม่ได้ เพราะประชาชนออกมาใช้สิทธิไม่ครบ ทั้งนี้ หากมีการถามเรื่องประชามติในช่วง เม.ย.67 น่าจะใช้เวลาประมาน 90-120 วัน ก่อนจะทำประชามติต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง