วันที่ 31 สิงหาคม 2564 เวลา 10.17 น. ร.ต.อ.วรวิทย์ ซุยลา รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งจาก น.ส.น้อย อายุ 38 ปี (นามสมมุติ) และนายต้น อายุ 40 ปี (นามสมมุติ ) ชาวตำบลเชียงพิณ อ.เมือง จ.อุดรธานี น้องสาวกับพี่ชาย ว่าได้โดนชาย ไม่ทราบชื่อ นามสกุล อายุ และที่อยู่ อ้างว่าสามารถประสานประกันตัวผู้ต้องหา บนโรงพักเมืองอุดรธานีได้ เมื่อเอาเงินให้แล้ว สุดท้ายก็เชิดเงินหลบหนี เหตุเกิดที่โรงพักเมืองอุดรธานี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา
น.ส.น้อย ให้การว่า เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 พี่สะใภ้ตนโดนตำรวจจับข้อหา มียาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ของกลางยาบ้า 20 เม็ด นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี วันที่ 27 สิงหาคม ตนและพี่ชายได้มาโรงพัก พบทนายความแนะนำเรื่องการประกันตัว ใส่กำไร EM แทน ตนจึงไปติดต่อนายประกัน ซึ่งจะต้องเช่าหลักทรัพย์ 35,000 บาท ตนก็เลยเอาสร้อยคอทองคำไปจำนำ ได้เงินเพียง 20,000 บาท จึงเดินมาโรงพัก เพื่อเดินเรื่องจะมาประกันพี่สะใภ้ แต่ก็ชายคนร้ายหลอกเอาเงินไปจำนวน12,000 บาท
นายต้น บอกว่า หลังจากตนทราบว่าแฟนโดนตำรวจจับ จึงได้เดินทางมาโรงพัก ขึ้นไปพบพนักงานสอบสวน แล้วทางตำรวจได้ติดต่อทนายให้ แล้วมีการแจ้งให้ทราบว่า จะต้องเช่าหลักทรัพย์ 35,000 บาท ในการประกันตัวออกมา ตนก็ได้บอกแฟนว่าจะไปปรึกษาน้องสาวก่อนว่า มีเงินจำนวนเท่าไร แล้วตนก็เดินลงมา ก่อนมาพบคนร้ายเป็นชาย อายุประมาณ 30-35 ปี บุคลิกคล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบ สะพายกระเป๋าหนังสือดำ ข้างในกระเป๋ามีกุญแจมือ เข้ามาตีสนิท พูดคุย สอบถามเรื่องราว แล้วอ้างว่าพึ่งไปจับผู้ต้องหาแถวๆ ที่ไปจับแฟนส่าวของตนและสามารถช่วยพวกตนได้ เพราะเคยช่วยมาแล้ว
โดยเขาไม่ได้บอกว่าเป็นตำรวจชุดไหน แต่ที่ช่วยเพราะทำด้วยใจ ไม่ได้เรียกร้องเอาเงิน เป็นจังหวะที่น้องสาวมาถึงโรงพัก ก็ให้ชายคนร้ายไปพูดคุยกับน้องสาว ซึ่งเขาอ้างว่ารู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในโรงพัก ในตอนนั้นเขายังไม่เรียกร้องยอดเงินเท่าไร ซึ่งบอกว่าแล้วแต่จะให้เท่านั้นเอง ตนจึงได้หันไปถามน้องสาว ควรให้เงินเขาเท่าไร น้องสาวบอกว่า ให้10,000 บาท พอทราบภายหลังว่าโดนหลอกทำให้เสียความรู้สึกเป็นอย่างมาก ทำตัวมาตีสนิทแนบเนียนมาก
น.ส.น้อย บอกว่า พี่ชายได้โทรมาขอยืมเงิน เพื่อเอาใช้เช่าหลักทรัพย์ 35,000 บาท ในการประกันตัวพี่สะใภ้ ตนก็ได้เอาสร้อยทองคำไปจำนำ ได้เงินมา จำนวน 20,000 บาท ก่อนที่จะมาโรงพัก แล้วมาเจอชายคนร้ายบอกว่าช่วยเหลือได้ ให้ไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากับผู้ต้องหา พร้อมกับซองใส่เงินจำนวน 2 ซอง จะได้เอาเงินไปให้กับเจ้าหน้าที่ข้างใน ชายคนร้ายอ้างว่าช่วยได้ครั้งเดียวนะ ตนก็เอาเงินใส่ซอง โดยซองแรก 10,000 บาท จะเอาให้ผู้ใหญ่ ซองที่สอง จำนวน 2,000 บาท ให้คนร้าย รวมเป็นเงิน 12,000 บาท พร้อมกับเสื้อผ้าที่ซื้อมา มอบให้กับคนร้าย แล้วเขาบอกให้ตนไปรอที่บ้าน ส่วนพี่ชายไปรอรับผู้ต้องหา ที่หน้าร้านสะดวกซื้อหลังเรือนจำ เมื่อได้เงินไปแล้ว คนร้ายก็เดินไปทางหน้าห้องขัง ไม่นานคนร้ายก็ไปหาพี่ชายที่หน้าร้านสะดวกซื้อ หลังเรือนจำ ทำการลบเบอร์โทรศัพท์ออกจากเครื่องพี่ชาย เพราะก่อนหน้านี้คนร้ายบอกว่าจะพี่ชายต่องานให้ จึงได้ให้เบอร์โทรศัพท์เอาไว้
พอหลังจากพวกตนรอจนมืดค่ำแล้วก็ไม่เห็นพี่สะใภ้กลับบ้าน ตนจึงโทรหาคนร้าย แต่ปรากฏว่าคนร้ายอ้ำอึ้ง บอกว่าวันพรุ่งนี้ถึงคุยกัน แล้วก็ปิดเครื่องโทรศัพท์ไป ไม่สามารถติดต่อได้ ทำให้มั่นใจว่าโดนหลอกแน่นอน จึงได้มาโรงพัก ไปหาชุดจับกุมพี่สะใภ้ เพื่อสอบถามว่าผู้ชายที่อ้างตัวว่าสามารถช่วยประกันผู้ต้องหาได้ เป็นตำรวจหรือไม่ ซึ่งชุดจับกุมแนะนำให้ตนไปหา พ.ต.อ.อารี สินธุรา ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี จึงเปิดกล้องวงจรปิดบริเวณโรงพักให้ตนดู และพบคนร้าย ซึ่งไม่ใช่ตำรวจ จึงได้แจ้งความดำเนินคดีชายคนร้ายดังกล่าว
น.ส.น้อย บอกต่อว่า “ตนเสียความรู้สึกมาก เขามาหากินบนความทุกข์ของคนอื่น ตนเดือดร้อนอยู่แล้ว ยังมาทำแบบนี้ เงินกว่าจะหาได้แต่ละบาท อยากให้ตำรวจจับคนร้ายให้ได้ เพราะทำอุกอาจ มาหากินในสถานีตำรวจ มันโหดร้ายเกินไปกับประชาชนอย่างเรา”
พ.ต.ต.บรรจง พาโคตร สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ได้ทำการสอบปากคำ น.ส.น้อย และให้ดูกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ ที่ศูนย์ สมาร์ทเซฟตี้โซน สภ.เมืองอุดรธานี เพื่อสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป.
ภาพ/ข่าว กฤษดา จันทร์ดวง ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.อุดรธานี