นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวชี้แจงกรณีข้อสงสัยในการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ส่วนต่างและการเข้าร่วมโคแว็กซ์ โดยอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยนำวัคซีนซิโนแวค มาใช้ครั้งแรกวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งการนำมาใช้ได้คำนึงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย จากการศึกษาประสิทธิภาพในสถานการณ์จริงในพื้นที่ จ.ภูเก็ต รวมถึงทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ยังพบว่า ช่วยลดการระบาดของโรค มีเอกสารวิชาการยืนยัน และเมื่อมีการระบาด ในบุคลากรทางการแพทย์ ที่ จ.เชียงราย พบว่า วัคซีนซิโนแวคช่วยลดการติดเชื้อ และลดความรุนแรงของโรคอย่างมีนัยสำคัญประมาณ 70-80% ขึ้นไป
อีกทั้ง ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนใดที่ป้องกันโควิด-19และป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% อย่างวัคซีนไฟเซอร์ที่ฉีดในอิสราเอลและสหรัฐอเมริกาอย่างกว้างขวางก็มีการระบาดจากเชื้อกลายพันธุ์ แต่วัคซีนทุกชนิดยังมีประสิทธิผลที่ดีในการลดป่วยหนักและเสียชีวิต เนื่องจากสายพันธุ์เดลตาทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลงทุกตัว ประเทศไทยจึงมีการหาวิธีเพิ่มภูมิคุ้มกัน ด้วยการฉีดสูตรไขว้ คือ ซิโนแวคเข็มแรก ตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ห่างกัน 3 สัปดาห์ สร้างภูมิคุ้มกันสูงเทียบเท่าแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม แต่สามารถฉีดครบ 2 เข็มได้รวดเร็วกว่า ซึ่งมีหลักฐานทางวิชาการตรงกันทั้งนักวิชาการจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้จัดหาวัคซีนซิโนแวคเข้ามา
ดังนั้นการระบุว่าการฉีดวัคซีนไขว้อันตรายโดยไม่มีข้อมูลวิชาการ และไม่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ต้องชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะประชาชนอาจกังวลและไม่กล้ามารับวัคซีน อาจกระทบต่อระบบการควบคุมโรคได้ ขณะเดียวกันองค์การอนามัยโลกมีการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคหลายร้อยล้านโดส เพื่อฉีดคนทั่วโลก เป็นการยืนยันว่าวัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิภาพ
ด้านนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรมเป็นตัวแทนนำเข้าวัคซีนซิโนแวค เนื่องจากทางบริษัทไม่มีตัวแทนในประเทศไทย เพื่อนำมาใช้ระหว่างรอวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ส่วนที่ระบุว่าประเทศไทยซื้อซิโนแวคราคาแพง 17 เหรียญนั้น เป็นราคาในล็อตแรก 2 ล้านโดส หากเทียบกับประเทศบราซิลและอินโดนีเซียที่มีราคาถูกกว่านั้น เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนี้เป็นพื้นที่ในการวิจัย มีการซื้อวัคซีนเข้ามาจำนวนมากและเป็นแบบนำมาบรรจุเองทำให้ราคาถูกกว่าประเทศไทยที่ซื้อแบบสำเร็จรูป อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการเจรจาต่อรองราคาและสั่งซื้อต่อเนื่อง ทำให้สามารถลดราคาลงได้ จาก 17 เหรียญ เหลือ 8.9 เหรียญ เฉลี่ยคือ 11.99 เหรียญ
ส่วนกรณีที่มีการระบุว่ามีส่วนต่างในการจัดซื้อนั้น ยืนยันว่าไม่จริง เนื่องจากการซื้อวัคซีนนั้น องค์การเภสัชกรรม เป็นผู้ไปลงทุนซื้อโดยใช้เงินองค์การเภสัชกรรม เมื่อได้วัคซีนแล้วจึงขายให้แก่กรมควบคุมโรค ซึ่งเป็นผู้ดูแลกรอบวงเงินงบประมาณจัดซื้อ โดยเรียกเก็บราคารวมค่าดำเนินการและขนส่งตามความเป็นจริง จึงไม่มีการได้รับส่วนต่างจากกรอบวงเงินที่ตั้งไว้แต่อย่างใด
ด้านนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า การสั่งซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า มีการจองซื้อตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 กับผู้ผลิตตั้งแต่ก่อนได้ผลการทดลอง โดยมีเงื่อนไขและมีโอกาสที่จะไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับล่าช้า ซึ่งวัคซีนทุกตัวและทุกประเทศ รวมถึงโครงการโคแวกซ์ ก็เป็นการทำสัญญาในลักษณะการจองซื้อล่วงหน้าเช่นกัน ต้องยอมรับความเสี่ยงร่วมกันระหว่างรอผลวิจัยพัฒนา จึงไม่ใช่การทำสัญญาเสียเปรียบ เนื่องจากไม่ใช่สถานการณ์ปกติที่มีวัคซีนพร้อมให้สั่งซื้อ ส่วนการที่ไม่จองซื้อวัคซีนผ่านโครงการโคแวกซ์ เนื่องจากเราพิจารณาตามสถานการณ์ขณะนั้น ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วคาดว่าจะส่งมอบวัคซีนล่าช้าและไทยเราอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจ่ายเงิน ไม่ได้รับวัคซีนฟรี
ทั้งนี้ ปัจจุบันมี 139 ประเทศที่เข้าร่วมโคแวกซ์มีการส่งวัคซีนไปแล้ว 224 ล้านโดส แต่จากการเจรจาโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิตทำให้ได้รับวัคซีนจำนวนมากกว่าและแน่นอนกว่า ขณะนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 30 ล้านโดส อย่างไรก็ตาม หากโครงการโคแวกซ์มีสถานการณ์ดีขึ้น เงื่อนไขต่างๆ เหมาะสมก็จะพิจารณาเข้าร่วมได้ในเวลาถัดไป