รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก “Harirak Sutabutr” ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวนายกรัฐมนตรี จนถึงขนาดเกิดความสั่นคลอนความมั่นคงของตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีของตัวเองอยู่ในขณะนี้ อย่าได้ไปโทษคนอื่น อย่าได้ไปคิดว่าถูกกลั่นแกล้ง เพราะเป็นปัญหาที่นายกรัฐมนตรีก่อขึ้นเองทั้งสิ้น ตั้งแต่โพสต์ประณาม Hamas อย่างไร้เดียงสา ตั้งแต่หลุดปากแซวผู้สื่อข่าวว่า“หมายถึงนายกรัฐมนตรีคนไหน” ตั้งแต่ทำท่าจุมพิตมือหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ จนทำให้คนคิดว่าเป็นการแสดงความสยบยอม จนถึงเรื่องการแต่งตั้งผู้กำกับใหม่ ที่ถูกเรียกว่า“ตั๋วเพื่อไทย”
กรณีหลังสุดคือกรณีแต่งตั้งผู้กำกับ ดูจะเป็นกรณีที่หนักหนากว่าเพื่อน เพราะการพูดในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยวันนั้น จะปฏิเสธหรือแก้ตัวอย่างไร ความหมายที่สื่อออกมาจะมีความหมายเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก บอกบรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทย ว่า “ที่ขอตำแหน่งผู้กำกับกันมานั้น พยายามทำให้แล้ว แต่ขอกันมาเยอะเหลือเกิน ทำให้ส่วนใหญ่ต้องผิดหวัง แต่ที่สมหวังก็มีมาก ซึ่งก็ทำให้ได้เพียงเท่านี้ อย่าได้ต่อว่ากันภายหลังเลย“
นายกรัฐมนตรีแก้ตัวกับนักข่าวว่า ที่พูดไม่ได้หมายถึง “คน” แต่หมายถึง “ความ” เรื่องผิดหวังก็หมายถึง เขาทำงานไม่ดีจนผิดหวัง ทำให้คนแซวกันทั้งเมืองว่า สีข้างของนายกรัฐมนตรีคงถลอกไปหมดแล้วทั้ง 2 ข้าง ที่ว่าการพูดครั้งนี้อาจมีผลที่หนักหนากว่าครั้งก่อนๆ เพราะอาจเจอข้อหา ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 185 และข้อหาผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง อาจถึงกับต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นได้ จะอย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องดังกล่าว นายกรัฐมนตรีก็ออกมานั่งเต๊ะท่าอยู่ตรงบันไดหน้าทำเนียบ โชว์ถุงเท้าแดง ให้ทีมงานถ่ายรูป ถ่ายคลิป ในใจน่าจะยังคงท่องคาถาบทเดิมต่อไป นั่นคือ “ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ” และ “ การแจกเงินตามนโยบาย digital wallet จะนำพาประเทศให้พ้นจากวิกฤตไปได้” มิใยที่ผู้รู้ทั้งหลายออกมาชี้ว่า สภาพเศรษฐกิจของประเทศไม่ใช่ว่าจะดีนัก แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่า วิกฤตอยู่มาก เมื่อเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติออกมาแถลงภาวะเศรษฐกิจของประเทศว่า ในไตรมาสที่ 3 GDP เติบโต 1.5% นายกรัฐมนตรีก็รีบวิจารณ์ทันทีว่า GDP มีอัตราการเติบโตที่ต่ำจนน่าตกใจ แสดงว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ดูรายละเอียดอะไรเลย พยายามจะให้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตให้ได้
หากลงไปดูรายละเอียดที่เลขาธิการสภาพัฒน์แถลงก็จะพบว่า ที่ GDP โต 1.5% มีส่วนใดบ้างที่โตมาก ส่วนใดโตน้อย ส่วนใดติดลบ เพราะตัวเลข GDP ประกอบด้วย
GDP = การบริโภคของเอกชน + การลงทุนของธุรกิจ + รายจ่ายของรัฐบาล + การส่งออกสุธิ (ส่งออก-นำเข้า)
รายงานของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เกี่ยวกับตัวเลขการเติบโตของ GDP มีดังนี้
GDP = + 1.5
การบริโภคเอกชน = + 8.1 การลงทุนรวม = + 1.5 (เอกชน +3.1 4 ภาครัฐ -2.6)
การส่งออกบริการ = +23.1 การส่งออกสินค้า = -3.1 การอุปโภคภาครัฐบาล = – 4.9
จะเห็นว่าส่วนประกอบของ GDP ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะการบริโภคเอกชน และการส่งออกบริการ ที่ติดลบก็คือการส่งออกสินค้าซึ่งเข้าใจได้ เพราะโลกอยู่ในภาวะสงคราม ทั้ง Ukraine และ Palestine แต่ที่ติดลบมากที่สุดคือ การลงทุนภาครัฐบาลที่ติดลบ 2.6% และการอุปโภคของรัฐบาลติดลบ 4.9%