“เกียรติ” แนะเพิ่มทักษะแรงงาน-ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

"เกียรติ สิทธีอมร" มองรัฐบาลย้อนแย้งชวนต่างชาติมาลงทุน แต่บอกเศรษฐกิจไทย “วิกฤติ” แนะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มทักษะให้แรงงานไทย สนับสนุนงานวิจัยที่ภาคธุรกิจใช้ได้หนุนการเติบโตประเทศ พร้อมชี้ลดราคาพลังงานโดยการอุดหนุน กระทบรายได้เข้ารัฐ มอง “ไม่ยั่งยืน”

นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และอดีตประธานคณะกรรมการบริหารหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ระบุถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า จากคำจำกัดความของนักเศรษฐศาสตร์ และคำจำกัดความทั้งโลก ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขณะนี้ไม่วิกฤติ เพราะหากอยู่ในขั้นวิกฤติ จะต้องมีเม็ดเงินไหลออกจากประเทศ และอัตราเเลกเปลี่ยนไม่คงที่ ประชาชนแห่ถอนเงิน รวมถึงมีคนตกงานจำนวนมาก ส่วนของไทยไม่ได้เข้าข่ายสถานการณ์ที่กล่าวมา

แต่สาเหตุที่รัฐบาลได้ออกมาระบุถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า เข้าขั้นวิกฤติ สาเหตุ เพื่อจะใช้ช่องทางของพ.ร.บ.การเงินการคลัง ขอออกพ.ร.บ.เงินกู้เฉพาะกิจ นำเงินมาใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากขัดต่อข้อกฎหมาย ดังนั้น รัฐบาลควรที่จะนำเสนอกับประเทศอื่นๆ ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย โดยใช้เรื่องสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ แทนการให้มาตรการพิเศษเป็นบางเรื่อง จะขัดต่อกฎของ องค์การการค้าโลกได้ แต่หากดำเนินการแบบนโยบายของ BOI ก็จะเป็นข้อยกเว้นของ WTO ซึ่งเป็นของยกเว้น และรัฐบาลสามารถดำเนินการได้

นายเกียรติ ระบุอีกว่า สำหรับการวินิจฉัยของกฤษฎีกาจะไม่มีการฟันธง และจะไม่ตัดสินใจแทนรัฐบาล แต่จะเป็นออกมาบอกว่า หากรัฐบาลไปทางนี้ กฎหมายจะตีความอย่างไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลทั้งสิ้น ทั้งนี้ โครงการดิจิทัล วอลเล็ต จะเดินทางไปในรูปแบบไหนนั้น คำถามใหญ่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฤษฎีกา แต่อยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะวันที่ได้มีการหาเสียงเลือกตั้ง ได้มีการยื่นนโยบายกับ กกต. ไว้แล้ว ว่าพรรคการเมืองจะทำนโยบายนี้ และจะนำเงินจากที่ใดมาจากใช้ ซึ่งไม่มีรายการใดที่รัฐบาลระบุว่าจะต้องกู้เงินเป็นพิเศษมาใช้ เพราะฉะนั้น กฎหมายใหญ่จึงอยู่ที่ กกต. และพรรคการเมือง

ดังนั้น หากวันนี้ พรรคการเมืองจะปรับเปลี่ยนนโยบายจากที่ยื่น กกต. คำถามที่เกิดขึ้น คือ พรรคการเมืองจะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ส่วนโครงการจะเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อกฎหมายตรงนี้เป็นหลัก

ส่วนการที่รัฐบาลจะใช้ช่องทาง โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังประสบกับภาวะวิกฤต ตาม พ.ร.บ.การเงินการคลัง ประเทศจะต้องมีวิกฤติจริงๆ ดังนั้น ระยะนี้ รัฐบาลจึงได้ออกมาระบุว่า ประเทศไทยมีภาวะวิกฤติ แต่เมื่อรัฐบาลเดินทางไปประเทศอื่นๆ ได้บอกนักลงทุนว่าประเทศไทยไม่มีวิกฤติ พร้อมเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งกัน

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่มองประเทศไทยนั้น นายเกียรติ ระบุว่า ไม่ได้มองว่าไทยประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจแม้แต่น้อย และต้องแก้ไขเป็นการเร่งด่วน ดังนั้น ในส่วนของกฎหมาย ที่จะมีการออกงบประมาณพิเศษจึงไม่สามารถดำเนินการได้

นายเกียรติ ระบุอีกว่า วันนี้หากจะถามว่า ประเทศไทยต้องการอะไรในการพัฒนาเศรษฐกิจ ตนมองว่า รัฐบาลจะต้องเดินหน้า ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งในเรื่องการปรับโครงสร้าง เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก เพราะชัดเจนว่าไทยมีปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงสร้างราคาพลังงาน ปรับลดส่วนต่างดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างภาษี การนำเข้าวัตถุดิบและวัตถุดิบสำเร็จรูป ส่งเสริมทางด้านทักษะและงานวิจัยกับภาคธุรกิจ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน หลังจากที่รัฐบาลเข้ามาได้มาลดราคาพลังงาน โดยวิธีการลดราคาพลังงานได้นำเงินเข้าไปอุดหนุน หรือลดภาษี ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ที่จะเข้ารัฐ ซึ่งตนมองว่า เป็นวิธีที่ไม่ยั่งยืน และไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ขณะเดียวกันในปี 2567 รัฐบาลก็มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ปรับขึ้นราคาน้ำมัน และก๊าซ ซึ่งตนมองว่า ไม่ใช่การปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่แท้จริง แต่จะเรียกว่าเป็นการให้ของขวัญปีใหม่ประชาชน

นายเกียรติ ระบุอีกว่า ในการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน จะต้องทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วม กันได้ทั้งผู้ผลิต ผู้ขาย ประชาชนทั่วไป และมีความเป็นธรรม ต้องสะท้อนต้นทุนและมีความเป็นธรรมกับผู้บริโภค ซึ่งวันนี้ไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หากรัฐบาลสามารถดำเนินการแก้ไขได้จะมีผลมากกว่าเม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท ที่จะมาใช้ในโครงการดิจิทัล วอเลต เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

เรื่องที่ 2 ต้องปรับโครงสร้างส่วนต่างดอกเบี้ยที่เป็นต้นทุนที่สูงของผู้ประกอบการ โดยขณะนี้ผู้ประกอบการรายใหญ่ ได้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่าผู้ประกอบการขนาดเล็ก โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3% ขณะที่ไทยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของผู้ประกอบการรายเล็กจะอยู่ที่ประมาณ 7% โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ส่วนต่างดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4- 5% จึงทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ และยังเป็นสาเหตุของหนี้นอกระบบอีกด้วย เนื่องจากรายได้ต้นทุนการเงินของไทยสูงมาก ดังนั้น มองว่ารัฐบาลควรเร่งปรับโครงสร้าง ส่วนต่างดอกเบี้ยซึ่งรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ

ส่วนเรื่องที่ 3 เป็นเรื่องระบบ ภาษี โดยไทยมีการเก็บภาษีนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป โดยประเทศไทยนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปเพื่อ ผลิตและส่งออก ไปต่างประเทศ ซึ่งในอดีตการมีภาษีเหล่านี้เพื่อดูแลผู้ประกอบการในประเทศ แต่วันนี้ได้เลยจุดนั้นไปแล้ว จึงทำให้ไทยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ซึ่งหากรัฐบาลมีการปรับโครงสร้างในเรื่องนี้ก็จะไม่จำเป็นจะต้องใช้งบประมาณและสามารถดำเนินการได้ทันที

นายเกียรติ มองว่า รัฐบาลควรนำเงินที่มีอยู่ไปเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน ผ่านการเพิ่มทักษะและการทำวิจัย โดยการเพิ่มทักษะให้กับแรงงานไทยให้เก่งขึ้น ซึ่งอาจจะร่วมมือกับผู้ประกอบการในการดำเนินการ ทั้งการออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่งกับผู้ประกอบการ  การใช้มาตรการลดหย่อนภาษี ซึ่ง มีหลายมาตรการสามารถดำเนินการได้และใช้งบประมาณน้อย แต่ได้ผลระยะยาว

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรสนับสนุนงานวิจัยที่สามารถไปใช้ได้ทั้งภาคธุรกิจ เป็นกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภาคธุรกิจ เพื่อทำให้ไทยเติบโตอย่างเเข็งแกร่ง ซึ่งในต่างประเทศได้มีการลงทุนในเรื่องนี้ในสัดส่วน 3% ของจีดีพี ขณะที่ไทยมีการลงทุนในเรื่องนี้ไม่ถึง 1% ซึ่งในอดีตจะอยู่ที่ 0.3 ถึง 0.5% ของจีดีพี ซึ่งมองว่า เป็นการดำเนินการที่ใช้เม็ดเงินไม่มากอยู่ที่ 1-2 แสนล้านบาท รวมถึงการระดมคนเก่งให้เข้ามาสร้างงานวิจัยที่ไทยเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ร่วม ก็จะเป็นอีกวิธีที่จะทำให้ประเทศเติบโตได้

พร้อมสนับสนุนการแปรรูปสินค้าในประเทศเพื่อเพิ่มมูลค่า อาทิ ยางพารา ข้าว อาหารปรุงสุก ซึ่งจะสามารถสร้างกำไรได้ถึง 30-50% จากราคาวัตถุดิบ และให้ทุกภาคส่วนของห่วงโซ่การผลิตได้รับกำไรจากการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และยังสามารถสร้างความสามารถการแข่งขันระยะยาวและเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ

นายเกียรติ ระบุว่า สิ่งที่ตนกังวลมากที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลได้มีนโยบายที่ต้องใช้เงินจำนวนมากแต่ได้ผลน้อย แทนที่จะใช้นโยบายที่ใช้เงินน้อยแต่ได้ผลเยอะ เหตุใดรัฐบาลจึงไม่คิดนโยบายเหล่านี้ ซึ่งการปรับโครงสร้างจะช่วยให้ได้ผลหลายแสนล้านบาท และเกิน 500,000 ล้านบาท หากรัฐบาลสามารถทำโครงสร้างพลังงานได้ดี ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซแอลพีจี ก๊าซหุงต้ม ซึ่งสามารถทำได้ทั้งหมด

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

‘อี้ แทนคุณ’ พาเหยื่อร้องปคม. ถูกหลอกข้ามแดนลวงเปิดบัญชีม้า หลังพบมีหมาย 450 คดี
คืนส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2568 รถไฟฟ้าบีทีเอส - สายสีทอง ขยายเวลาให้บริการถึงตี 2
“เพื่อไทย” จัดเต็ม ชาวเชียงใหม่เรือนหมื่นแห่ฟัง “ทักษิณ” สว.ก๊องมั่นใจ พ่อใหญ่แม้วช่วยหาเสียงชนะแน่
ชาวบ้านทรุดก้มกราบ “ทักษิณ” ขอปรึกษาปัญหาชีวิต การ์ดรีบยกตัวออก
เกมแล้ว! หนุ่มแต่งรถประดับไฟสี ธีมคริสต์มาส ขับเฉิดฉายทั่วถนน ปรับฉ่ำๆ 2 ข้อหา
แจ้ง 4 ข้อหาหนัก 'อส.เมากร่าง' ยิงสนั่นกลางร้านข้าวต้ม ดับ 2 ศพ เปิดวงจรปิดอีกมุม เห็นวินาทีก่อเหตุชัด
ตร.ไซเบอร์ ขยายผลตามรวบ "ผู้จัดหาบัญชีม้า" แก๊งลวง "ชาล็อต" กว่า 4 ล้านบาท
“บิ๊กอ้วน”ซัดปาก! พวกกระหายสงคราม “บิ๊กปู” คอนเฟิร์ม “ว้าแดง” เรียบร้อยดี
เวียงแหงโมเดล! เยาวชนคนรุ่นใหม่ One Young World เครือซีพี ปักธง FIGHT หมอกควันชายแดนไทย-พม่า เรียนรู้-ชวนชุมชมร่วมลด PM 2.5
ทิพยประกันภัย จับมือ NT ลงนาม MOU พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ายุคดิจิทัล

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น