วันที่ 13 ธ.ค. 66 กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดพิธีร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การแก้ปัญหาการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง หรือเรียกว่า นอมินี (NOMINEE) ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือกันของ 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการท่องเที่ยว , สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา , กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยได้รับเกียรติจากนายกิตติ เชาวน์ดี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานและสักขีพยาน
นายกิตติ เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และเป็นจุดดึงดูดให้บุคคลที่ไม่ใช่คนไทย เข้ามาแอบแฝงประกอบธุรกิจท่องเที่ยวโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง หรือ นอมินี ซึ่งปัจจุบันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ยังพบการกระทำที่ผิดกฎหมายของผู้ประกอบการหรือผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ มีการแย่งชิงนักท่องเที่ยวระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันเอง เกิดกับดักการตั้งราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องและไม่สามารถดำเนินการตามที่ตกลงไว้กับนักท่องเที่ยวได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุของสภาพปัญหาต่างๆ ตามมา เนื่องจากผู้ประกอบการต้องหารายได้จากทางอื่นมาทดแทน เช่น ปัญหาการบังคับให้ซื้อสินค้าที่ระลึก หรือบังคับให้จำเป็นต้องซื้อรายการนำเที่ยวเสริม (Optional Tour) ที่ราคาสูงเกินจริง และปัญหาอื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทั้ง 6 หน่วยงาน ที่ได้ร่วมมือกันบูรณาการแก้ปัญหานอมินี อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น เชื่อว่าหลังจากนี้ ประชาชนจะได้มั่นใจว่า การทำงานของหน่วยงานจะเกิดประสิทธิภาพ สามารถปราบปรามและป้องกัน การทำธุรกิจผิดกฎหมาย หรือธุรกิจสีเทา ให้ลดลง และหมดไปจากประเทศไทย ทำให้ประชาชนและประเทศชาติมีรายได้มากขึ้น รวมถึงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยวไทย ตามวัตถุประสงค์ ของนายกรัฐมนตรีที่ ต้องการให้ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยถึง 35 ล้านคน ถือเป็นภารกิจสำคัญและ Quick Win ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอีกด้วย
นายกิตติ ระบุอีกว่า จากความร่วมมือที่เกิดขึ้นเนื่องจากเล็งเห็นว่าหากปล่อยให้มีการทำธุรกิจสีเทา หรือ การปล่อยให้บุคคลที่ไม่พึงประสงค์ เข้ามาในไทยมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยเสียหายได้ ดังนั้น หาก หากสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้โดยใช้องค์กรหลัก และบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน
พร้อมยืนยัน การลงนามนั้น ไม่ได้ต้องการที่จะจับทุกคน เพียงแต่ต้องการป้องปรามไม่ให้เกิดขึ้น และกำจัดออกนอกประเทศ โดยขอให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามกฎหมาย