“ดร.ธนวรรธน์” มอง “เศรษฐา” เยือนญี่ปุ่นดึงเงินทุนกว่าหมื่นล้าน-จ้างงานเพิ่ม

"ดร.ธนวรรธน์" มอง "เศรษฐา" เดินทางเยือนญี่ปุ่นพบภาคเอกชน เสนอให้มีลงทุนในไทยมากขึ้น คาดการลงทุนโดยรวมจะเกิดขึ้นเกิน 1 หมื่นล้านบาท จ้างแรงงานเพิ่ม 500 -1,000 คน ส่วนโครงการแลนด์บริดจ์ ยังเป็นภาพรวม ต้องรอรายละเอียดที่ชัดเจน เพื่อติดตามว่านักลงทุนมีความสนใจจริงหรือไม่

สืบเนื่อง จากกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมASEAN-Japan ที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 14-18 ธ.ค.66 และมีโอกาสพบกับนักลงทุนภาคธุรกิจ และบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นหลายราย อาทิ Honda , Nissan , Mitsubishi , Mazda , Toyota , Panasonic เป็นต้น โดยเสนอให้มีการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น พร้อมชวนร่วมลงทุนโครงการแลนด์บริดจ์ ลงทุนเรื่องรถยนต์ รถอีวี เป็นต้น นั้น

 

 

 

 

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ว่า จากการเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประเทศไทยจะได้อะไรจากการเดินทางในครั้งนี้นั้น จะต้องแยกประเด็นออกเป็น 2 อย่าง คือ หนึ่ง ในส่วนของโครงการลงทุนใหม่ และสอง คือ การลงทุนเดิม

โดยการลงทุนเดิม นักลงทุนชาวญี่ปุ่นได้มีฐานการลงทุนอยู่ในประเทศไทย ทั้งการลงทุนในกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับกลุ่มยานยนต์ จะมีการลงทุนในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า(EV) จะเป็นการต่อยอดธุรกิจ ซึ่งอาจจะเป็นการสร้างไลน์การผลิตใหม่ หรือการลงทุนในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ที่จะเป็นการสร้างไลน์การผลิตใหม่ คาดว่า การลงทุนทั้ง 2 กลุ่ม จะมีการเพิ่มแรงงานเข้าไปในระบบไม่มากนัก แต่จะเป็นการนำเอาแรงงานกลุ่มเดิมเข้าไปในไลน์การผลิตใหม่

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

อีกทั้ง ต้องติดตามว่า ในการลงทุนแต่ละประเภทจะมีการนำเครื่องจักรเติมเข้าไปมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อว่า ในการลงทุนโดยรวมที่จะเกิดขึ้นจะทะลุเกิน 1 หมื่นล้านบาท และมีการจ้างแรงงานเพิ่ม 500-1,000 คน แต่ทั้งนี้ จะต้องติดตามการตอบรับของนักลงทุนญี่ปุ่นหลังการเดินทางไปเยือนของนายกรัฐมนตรี ว่า จะมีการตอบรับมากน้อยเพียงใด เพราะประเทศญี่ปุ่นเองก็มีโรงงานและค่ายรถยนต์อยู่แล้ว และบางค่ายได้มีการผลิตรถยนต์ EV เพื่อส่งออกต่างประเทศ จึงต้องติดตามข้อมูลข่าวสารต่อไป

 

 

รศ.ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า ส่วนการลงทุนใหม่ หรือ การลงทุนในโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย – อันดามัน (ชุมพร – ระนอง) หรือแลนด์บริดจ์ นักลงทุนญี่ปุ่นอาจจะมีความสนใจ แต่จะต้องดูรายละเอียดของการลงทุนว่าจะลงทุนอย่างไร จึงอาจยังเร็วเกินไปในการสรุปในเรื่องนี้ว่า จะมีการลงทุนมากน้อยแค่ไหน เพราะขณะนี้เรายังไม่ทราบมากมายว่าแลนด์บริดจ์ โครงการเต็มรูปแบบคืออะไร แต่จะเห็นว่ารัฐบาลมีการชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุนในระยะนี้ จากมติของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่ให้มีการเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือการให้สัมปทาน 50 ปี หมายความว่าผู้ที่จะมาลงทุนพัฒนาพื้นที่และพัฒนาโครงการจะได้รับสัมปทาน 50 ปี และยังไม่ทราบว่าสัมปทานที่ได้รับ จะแยกเป็นสัมปทานระบบราง สัมปทานระบบถนน หรือระบบของท่าเรือ ซึ่งยังเป็นภาพโดยรวมอยู่ จึงยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจน

 

ดังนั้น จึงต้องติดตามข้อมูลของเรื่องแลนด์บริดจ์ อีกระยะหนึ่ง 3-4 เดือนขึ้นไป เพื่อมาติดตามว่า หนึ่ง นักลงทุนมีความสนใจแลนด์บริดจ์ จริงหรือไม่ สอง จะต้องติดตามว่า นักลงทุนเหล่านี้จะลงทุนในประเภทใดบ้าง และรายละเอียดของเรื่องโครงการแลนด์บริดจ์ คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าแลนด์บริดจ์ จะมีองค์ประกอบสำคัญอะไร รู้เพียงแค่โครงการนี้จะร่นระยะเวลาการเดินทางอย่างน้อย 4 วัน และมีท่าเรือทั้งสองฝั่งที่ชุมพรและระนอง และมีรถไฟระบบรางคู่ และราง 1.4 เมตร กับ 1 เมตร รวมถึงมีถนนหนทางแต่ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดว่า นักลงทุนชาติใดสนใจจะลงทุนอะไรซึ่งจะต้องติดตามรายละเอียดต่อไป

 

 

 

สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ได้กำหนดรูปแบบการลงทุนเป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยรัฐบาลดำเนินการจัดหาที่ดินและให้สิทธิเอกชนดำเนินงาน ลงทุนค่าก่อสร้าง บริหารจัดการ และรับผลประโยชน์จากการพัฒนาโครงการเป็นระยะเวลา 50 ปี พร้อมทั้งส่งเสริมการต่อยอดอุตสาหกรรมเกษตรในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรม 5 New S-curve ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ (Logistics) อุตสาหกรรมดิจิตอล (Digital) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ซึ่งเป็นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค ทั้งในเชิงพาณิชย์และเชิงยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน ลดระยะเวลาการขนส่งทางทะเล ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ เกิดเป็นศูนย์กลางการขนส่ง และการค้าแห่งใหม่ของโลก

ทั้งนี้ รัฐบาล คาดว่าโครงการแลนด์บริดจ์ จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ในภาพรวม จะเกิดการสร้างงานในพื้นที่จำนวนไม่น้อยกว่า 280,000 อัตรา และคาดว่า GDP ของประเทศไทยจะเติบโตถึง 5.5% ต่อปี หรือประมาณ 6.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อมีการพัฒนาโครงการอย่างเต็มรูปแบบ

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ซานต้า ซานตี้ กว่า 500 คน ร่วมงานวิ่งสุด FUN สนุก RUN ส่งท้ายปี ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส สร้างสีสันริมชายหาดพัทยา
ผู้สมัคร ส.อบจ.พรรคปชน. นครปฐม ติดป้ายขวางทางเท้า เจอชาวบ้านโวยเพียบ
โจรใต้กระหน่ำยิง อส.ดับคาที่! แถมกระพือข่าวมั่ว-ป้ายสีคนตาย
"พิชัย" สะท้อนผ่านเวที ม.โตเกียว ยันการเมืองไทยมั่นคง เร่งเจรจา FTA ชวนญี่ปุ่นขยายลงทุน
สาวสองโหด พาเพื่อนรุมทำร้าย "แม่ลูกอ่อน" ถึงบ้าน บังคับกราบเท้า พร้อมถ่ายคลิปไปลงโซเชียล
สายแคมป์ห้ามพลาด! ทล.เปิด 37 จุดกางเต็นท์ฟรีช่วงปีใหม่ หนุนท่องเที่ยวในประเทศอย่างยั่งยืน
ตร.ไซเบอร์ บุกทลายคลังแสงกลางหมู่บ้านหรูเมืองปทุมฯ ยึดปืนเถื่อน-เครื่องกระสุนเพียบ
"บัวขาว" โพสต์ภาพชุด "ปราบมังกรจีน" ไล่อัด "หาน เหวินเป่า" นักชกคิกบ็อกซิ่ง คว้าชัยฉลอง 80 ปี เวทีราชดำเนิน
"กรมศิลปากร" ชวนเที่ยวงาน "แอ่วกุมกามยามแลง Moon and Me" ชมความงามยุคล้านนา จ.เชียงใหม่

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น