“พิชัย” ประเมินศก.ไทยปี 67 แจงรัฐปฏิบัติเชิงรุกภาคลงทุน ผุดแลนด์บริดจ์ สร้างดิจิทัลวอลเล็ต

"พิชัย" ประเมินศก.ไทยปี 67 แจงรัฐปฏิบัติเชิงรุกภาคลงทุน ผุดแลนด์บริดจ์ สร้างดิจิทัลวอลเล็ต

 

 

ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงรอการฟื้นตัว ทำให้หลายประเทศรวมถึงไทยต้องเร่งหาแนวทาง และ มาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาในจุดที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ล่าสุด “พิชัย นริพทะพันธุ์” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ อดีตรมว.พลังงาน ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ไทยโพสต์” ใจความสำคัญตอนหนึ่งระบุถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ต่ำมาเป็นเวลานาน เฉลี่ย 1.8-1.9 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นปัญหาข้อหนึ่งที่ต้องยอมรับ และไม่ใช่เป็นเพราะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เพียงอย่างเดียว

 

เพราะก่อนหน้านั้น The Financial Times เคยบอกไว้ว่าเศรษฐกิจไทย เหมือนกับคนป่วยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน และก็จะป่วยหนัก โดยการอ้างอิงตัวเลขต่างๆ ตั้งแต่ก่อนจะเกิดโควิด เช่นบอกว่า สภาวะเศรษฐกิจของไทยเศรษฐกิจโตต่ำที่สุดในเอเชีย ทั้งการส่งออก-การลงทุน และยิ่งมาเจอโควิดเข้าไปอีก เศรษฐกิจไทยเลยยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก หากดูจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของไทยจะพบว่า ตั้งแต่เกิดโควิดระบาดในไทย จนถึงตอนนี้ คือปี 2563-2566

 

ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ที่มีศักยภาพที่ดี แม้ปี 2563 ตัวเลขทางเศรษฐกิจจะตก แต่พอปี 2564 ก็ฟื้นกลับมาโตใหม่จนทะลุเกินหมด ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ มาเลเซีย สิ่งเหล่านี้คือสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่คนต่างก็รู้สึกว่า เศรษฐกิจแย่จริงๆ โดยเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย เพราะเศรษฐกิจมันไม่โต และปัญหาเรื่องหนี้ หากไม่มีการแก้ไข จะเป็นเหมือนระเบิดเวลา

ข่าวที่น่าสนใจ

 

“ประเทศไทยยังมีปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง”หนี้”โดยเมื่อเศรษฐกิจโตช้า ทำให้เกิดปัญหาหนี้เยอะ ซึ่งหมายถึงหนี้ทั้งหมด เช่นหนี้สาธารณะ ที่พุ่งขึ้นไปถึง 62.12% ของจีดีพี เพิ่มจากเดือนกันยายนปี 2557 ที่ 5.69 ล้านล้านบาท เป็น 11.12 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน อีกทั้งหนี้ครัวเรือนยังพุ่งถึงกว่า 16.07 ล้านล้านบาท หรือ 90.6% ของจีดีพี และ หนี้นอกระบบ ที่ยังวัดแน่นอนไม่ได้ บางคนก็บอกว่ามีหลายล้านล้านบาท จนปัจจุบันกลายเป็นว่า เรามีปัญหาเรื่องหนี้ ทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้ในระบบ และหนี้นอกระบบ ที่อาจจะทะลุเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ของจีดีพีไปแล้ว และยังมีปัญหาหนี้เสียในธนาคารที่มีตัวเลขสูงขึ้นเรื่อยๆ”

 

อีกประเด็นคือเรื่อง “ค่าจ้างขั้นต่ำ” ที่มีการมองกันว่า ค่าจ้างขั้นต่ำของไทยค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่เรื่องนี้ผมว่าต้องดูว่าทิศทางมันเป็นอย่างไร เพราะอย่างมาเลเซีย ค่าแรงก็แพงกว่าไทย เพราะรายได้ต่อหัวต่อคนของมาเลเซียตอนนี้เป็นประเทศรายได้สูงแล้ว เราต้องไปดูโครงสร้างเศรษฐกิจ-การลงทุนว่าทำไมมาเลเซียถึงทำได้ อาจต้องไปในทางที่ทำให้ธุรกิจต่างๆ มี value added สูงขึ้น พัฒนาให้สูงขึ้นเพื่อจะได้ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อไปได้

 

“ตอนนี้ที่มีการคุยกันเรื่องนี้ในพรรคเพื่อไทย ก็มีบริษัทวิจัยมาให้ข้อมูล ในทำนองว่ามันอาจไม่คุ้มทุน อาจเป็นแค่การทำเพื่อมาขนของอย่างเดียว ผมก็เสนอความเห็นไปตอนนั้นว่า อย่าเข้าใจผิด เพราะหากเราจะสร้างแลนด์บริดจ์ เราคงไม่ใช้เพียงเพื่อการขนของ โดยหากคำนวณเรื่องการส่งก๊าซและน้ำมัน ที่มีปริมาณที่สูงมาก ซึ่งในช่องแคบมะละกา มีการส่งน้ำมันดิบเฉลี่ยวันละ 15-16 ล้านบาร์เรล จึงทำให้สิงคโปร์มีรายได้สูงเพราะมีโรงกลั่นขนาดใหญ่ 5 โรงกลั่น มีโรงปิโตรเคมีคอล เขาสร้าง value added ได้มโหฬารในธุรกิจนี้ ดังนั้นหากไทยทำแลนด์บริดจ์ ก็อยากให้มองเรื่องการทำโรงกลั่น การทำปิโตรเคมีคอล ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกเยอะ ทำให้จะคุ้มทุน”

 

ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ รองประธานยุทธศาสตร์และการเมืองของพรรคเพื่อไทย ระบุด้วย มีบางคนมองว่า แลนด์บริดจ์ ทำเพื่อไว้ส่งของ-ยกสินค้า อาจไม่คุ้มค่าการลงทุน โดยไปเทียบกับ คลองสุเอซ -คลองปานามา ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะหากเราทำให้เป็นพื้นที่การส่งออกน้ำมันด้วยมันจะคุ้ม เพราะจะทำให้มีธุรกิจต่างๆ เช่นโรงกลั่น ตามมา เพราะหากในอนาคต ถ้าเรามีโรงกลั่นขนาดใหญ่ ต่อไปราคาน้ำมันอาจจะขึ้นกับประเทศไทยแล้ว ไม่ใช่ขึ้นกับสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมองอนาคตด้วย เพราะต่อไป คนอาจจะใช้น้ำมัน-ก๊าซ น้อยลงเรื่อยๆ แต่ก็คงอีกเป็นสิบๆ ปี กว่าที่น้ำมัน-ก๊าซจะลดความสำคัญลงไป ที่ก็ยังถือว่ามีโอกาส หากเราทำได้เร็ว

 

 

 

ส่วนนโยบายที่คนไทยทั้งประเทศกำลังรอคอยติดตามความคืบหน้าว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั่นก็คือ”ดิจิทัลวอลเล็ต”โดยบอกว่า ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นนโยบายที่ตอนแรกๆ ในพรรคเพื่อไทย ก็มีการสอบถามกันเยอะ ว่าจะนำเงินจากไหนมาทำนโยบายดังกล่าว แต่เมื่อตัดสินใจทำนโยบายออกมาแล้ว ก็ต้องมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไร

 

อย่างปีที่ผ่านมา 2565 เงินเฟ้อทั้งโลก เพราะทั่วโลกกำลังฟื้นตัวหลังโควิด สินค้าขาดตลาด ทำให้ของแพง เงินเฟ้อทั่วโลกจึงขึ้นสูงมาก ขณะที่ประเทศไทย ช่วงต้นปี สถานการณ์เงินเฟ้อยังสูง เดือนมกราคม อยู่ที่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์- กุมภาพันธ์ ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์- มีนาคม 2 เปอร์เซ็นต์กว่า จนมาช่วงพฤษภาคม ลงมาเหลือ 0.53 เปอร์เซ็นต์ จากนั้น ก็ลงมาเรื่อยๆ จนมาติดลบช่วงเดือนตุลาคม ที่-0.31 เปอร์เซ็นต์ เดือนพฤศจิกายน เงินเฟ้อ ติดลบที่ -0.44 เปอร์เซ็นต์ และคาดหมายกันว่าจะติดลบมาจนถึงธันวาคม 2566

โดยการที่เงินติดลบ ในทางทฤษฎีก็คือเงินฝืด นี้คือปัญหาเศรษฐกิจไทย คนเริ่มไม่มีกำลังซื้อ การกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น ที่ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งตอนนี้ ดิจิทัลวอลเล็ต กำลังอยู่ในระบบ ที่หากสมมุติทำไม่ได้ ก็ต้องคิดเรื่องอื่นที่จะต้องทำ ต้องเข้าใจว่าดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ใช่ว่าทำแล้วจะดีทันที มันไม่ใช่ แต่ดิจิทัลวอลเล็ตคือส่วนหนึ่งของการทำให้ประเทศมีเศรษฐกิจขยายตัว มีการเติบโต เพราะตอนนี้อัตราการเติบโตของเราต่ำมานาน เพราะทั้ง ธนาคารโลก-ธนาคารพัฒนาเอเชียหรือ เอดีบี และไอเอ็มเอฟ ก็บอกว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเติบโตในอัตราที่ต่ำ จึงเป็นเรื่องที่หากไม่มีการทำอะไรเลย เศรษฐกิจไทยปี 2567 อาจจะย่ำแย่ อย่าง ที่นักเศรษฐศาสตร์บางคน ก็วิเคราะห์ว่าอาจจะโตแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์กว่าหรืออาจจะติดลบได้

 

“ตอนนี้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เข้าสู่กระบวนการแล้ว ที่หากทำได้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว คือหากทำได้ เป็นเรื่องดี แต่หากทำไม่ได้ ก็ต้องมีมาตราการต่างๆ มารองรับว่า จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยฟื้น กลับมาโตที่ 5 เปอร์เซ็นต์ให้ได้

เพราะไม่ใช่ว่าตอนนี้โตแค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์ก็ดีใจแล้ว ที่มันไม่ใช่ เพราะศักยภาพของเรา ต้องเติบโตที่ปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ให้ได้ ไม่ใช่บอกว่าโครงสร้างมันเสื่อม การโตปีละ 3 เปอร์เซ็นต์ ก็ดีแล้ว เพราะถ้าโครงสร้างเสื่อม ก็ต้องแก้ไข เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมามีศักยภาพและเติบโตแข่งกับประเทศอื่นๆ ได้ เช่นการหาทางเข้าไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ อุตสาหกรรมการผลิตแบบใหม่ ก็จะเป็นทิศทางที่ถูกต้อง”

 

นอกจากนี้ยังต้องทำให้เกิดการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ พวกธุรกิจเกี่ยวกับ เทคโนโลยี การทำให้เกิดยูนิคอร์นของคนไทย อย่างอินโดนีเซีย เศรษฐกิจของเขาเติบโตได้ก็เพราะยูนิคอร์น เพราะมีธุรกิจเทคโนโลยีเข้าไปลงทุนเยอะ แต่ของไทย ยังมีน้อยมาก ก็ต้องหาทางทำให้ธุรกิจใหม่ๆ เหล่านี้เติบโตให้ได้ เพราะตอนนี้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยไปพึ่งพาต่างประเทศเยอะ จึงต้องสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นของคนไทยเอง เพราะตอนนี้เศรษฐกิจดิจิทัลในระบบยังมีแค่ประมาณสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่ประเทศที่เจริญแล้ว เศรษฐกิจดิจิทัลจะอยู่ที่ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ โดยหากทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัวได้ ก็จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ ก็จะเติบโตตามไปด้วยได้

 

“แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 หากรัฐบาลได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย จนสามารถผลักดันนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลออกมาได้ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยจะสามารถขยายตัวได้ 3-4 เปอร์เซ็นต์ แต่หากไม่ได้รับความร่วมมือ มีปัญหาต่าง ๆเยอะ มีความขัดแย้งต่างๆ เศรษฐกิจก็อาจแย่ได้ มีโอกาสที่อาจจะถึงขั้นติดลบ แต่ก็หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้น แต่หากไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ แล้วปล่อยไว้ โดยหวังว่าเศรษฐกิจปี 2567 จะโตได้ 3 เปอร์เซ็นต์กว่า อย่างที่เวิลด์แบงก์ หรือสภาพัฒน์ฯ คาดการณ์ไว้ ก็อาจเป็นไปไม่ได้เลย”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"ทนายพัช" แจงเหตุผล ขอถอนตัวเป็นทนายความให้ “แอม ไซยาไนด์”
"ผอ.คลองเตย" แจงสอบเบื้องต้น "สวนชูวิทย์" ไม่ใช่ที่ดินสาธารณะ
"ศุภมาส" ดีเดย์จัดงาน "One Stop Open House 2024" สานต่อผลสำเร็จ "อว.แฟร์"
DSI แถลงจับกุม "สามารถ-แม่" พบหลักฐานเอกสาร เข้าข่ายความผิดร่วมกันฟอกเงิน
รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ร่วมกิจกรรมน้อมรำลึก เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ร.6
“ทนายอาคม” จ่อวางโฉนดบ้าน ยื่นขอประกัน “เดือน” อึ้ง “ตั้ม” ไม่ยอม ถามกลับแล้วผมจะเอาหลักทรัพย์อะไรประกัน
กองทัพเรือ ร่วมทุกภาคส่วน วางพวงมาลารำลึก 99 ปี แห่งการสวรรคต รัชกาลที่ 6
“แพท ณปภา” พร้อมแฟนหนุ่ม โร่แจ้งความเอาผิดมือดี ตัดต่อภาพโปรโมตเว็บพนันออนไลน์
“บิ๊กป้อม” บอกผมไม่รู้ หลัง "สามารถ" ถูกจับคดีฟอกเงิน ปมนักการเมืองดังตบทรัพย์ "ดิไอคอน"
"ชูศักดิ์" เผยทีมกม.เพื่อไทย เร่งร่างคำฟ้องกลับ “ธีรยุทธ” เตือนนักร้องอย่าสรุปผิดเอง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น