ถึงแม้จะเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยได้โผล่ออกสื่อหลากหลายช่องทางเหมือนครั้งอดีต แต่ พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ปรึกษา (สบ.9) ก็ถูกจับตามองอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปในหลายทิศทาง โดยเฉพาะข้อกังขาที่ต้องถูกย้ายออกไปเป็นข้าราชการระดับสูงในสำนักนายกรัฐมนตรี แบบไม่มีปรี่ ไม่มีขลุ่ย และไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนอธิบายสู่สาธารณะชน กระทั่งเมื่อช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา ก็ถูกย้ายกลับมานั่งเก้าอี้ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดับที่สูงกล่าวเดิมแบบงงๆ
ล่าสุดฮือฮาอีกครั้ง หลังมีรายชื่อขึ้นเป็นแคนดิเดต นั่งเก้าอี้ “ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” จนกลายเป็นจุดสนใจที่หลายฝ่ายจับตามอง โดยล่าสุด พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวท็อปนิวส์ กับเรื่องราวปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
“ ผมดีใจที่ได้กลับมารับราชการ เพราะผมรักในอาชีพตำรวจ และมีความตั้งใจที่จะเป็นตำรวจตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร และเรียนต่อยังโรงเรียนนายร้อยตำรวจ การเป็นตำรวจของผมที่ผ่านมาจึงตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนอย่างมืออาชีพ ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะเจออุปสรรคปัญหา มีเรื่องที่ไม่ราบรื่นบ้าง ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่า ความเป็นข้าราชการเราเลือกไม่ได้ เรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติคำสั่งตามผู้บังคับบัญชาโดยชอบด้วยกฎหมาย”
“บิ๊กโจ๊ก” บอกเราด้วยว่า ตนเองเป็นข้าราชการของแผ่นดิน จึงต้องปฏิบัติตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการ โดยเคร่งครัด และเมื่อมีโอกาสได้รับความเมตตา ให้กลับมารับราชการตำรวจอีกครั้ง จึงต้องพึงระลึกอย่างยิ่งยวดว่าต้องเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน เป็นข้าราชการที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างเต็มกำลังความสามารถ
“สำหรับข่าวคราวของผมที่ออกมาอยู่เป็นระยะ ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากกับข่าว เพราะว่าตำรวจ คือเป็นบุคคลสาธารณะ ฉะนั้นเมื่อเราทำหน้าที่ เราก็พร้อมที่จะให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ ให้สังคมแนะนำ ให้สื่อมวลชนติติงได้ แต่การติติงนั้น ต้องเป็นการติติงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่นทำงานบกพร่อง ทำงานไม่ดี เป็นต้น เราจะได้เอาข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงตัว เพราะเราเสมือนเป็นบุคคลสาธารณะ และผมก็ชอบที่จะให้สื่อมวลชนวิพากษ์ วิจารณ์ ได้เพื่อสะท้อนตัวเองให้ปรับปรุงตัว “
ขณะเดียวกันได้มีการพูดถึงอย่างกว้างขวางว่า พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล ได้ถูกวางตัวนั่งตำแหน่งสูงสุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อเรื่องดังกล่าว “บิ๊กโจ๊ก” บอกกับเราว่า “การจะเป็น ผบ.ตร. หรือไม่เป็น ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันอยู่ที่ว่าวันนี้เราทำอะไรให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้าง ซึ่งวันนั้นผมยึดอยู่ 3 ส่วน คือการทำงาน ผมจะยึดแผ่นดิน ประชาชน และราชบัลลังก์ เพราะฉะนั้นในทุกตำแหน่งถ้าเราเติบโตไปแล้วเป็น ผบ.ตร. โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรให้แผ่นดิน ประเทศชาติ ผมว่าไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นวันนี้จะเป็นตำแหน่งไหนไม่สำคัญ แต่เป็นแล้วต้องมีความภาคภูมิใจ ที่ได้ทำประโยชน์ให้แผ่นดิน”