AFP และรอยเตอร์สรายงานว่าเหมา หนิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าวระหว่างแถลงข่าวในวันนี้ (พุธที่ 10 มค.) กล่าวหาพรรค DPP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลไต้หวันว่าจงใจสร้างความตื่นให้ตระหนกให้กับชาวไต้หวันด้วยการส่งข้อความเตือนภัยทางอากาศหลังจีนยิงดาวเทียมเพื่อเก็บข้อมูลด้านดาราศาสตร์ “ไอน์สไตน์” เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ เพื่อหวังที่จะชี้นำประชาชนให้เข้าใจผิด
ขณะที่พรรค KMT ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งสำคัญก็ออกมาซัดรัฐบาล ชี้ไม่ควรนำเอาเรื่องการเตือนภัยมาเป็นเครื่องมือในการหาเสียงเลือกตั้ง และใช้เป็นข้ออ้างว่าจีนแทรกแซงการเลือกตั้ง
ด้านโฆษกรองประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ซึ่งเป็นผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีของพรรค DPP ออกมาปกป้องกรณีกระทรวงกลาโหมส่งข้อความเตือนภัยเมื่อวานนี้ว่าเป็นความจำเป็นและเพื่อแจ้งข้อมูลให้ชาวไต้หวันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่กลาโหมก็ยืนยันว่าข้อความเตือนภัยไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง แต่ยอมรับว่าจะต้องทบทวนและปรับปรุงเรื่องการแปลภาษา เนื่องจากมีแปลข้อความผิด โดยข้อความภาษาจีนระบุว่าเตือนภัย “ชิ้นส่วนดาวเทียม” แต่ ภาษาอังกฤษกลับแปลว่าเตือนภัย “ขีปนาวุธ” สร้างความแตกตื่นทั้งต่างชาติและคนไต้หวัน
และในขณะที่การเลือกตั้งเพื่อตัดสินอนาคตไต้หวันกำลังจะมาถึงในเสาร์ที่ 13 มกราคมนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์วิทยาที่สถาบันแอคะเดมิค ซินิกาที่ไทเปก็ออกมากล่าวว่าในช่วงก่อตั้งไต้หวันใหม่ๆ หลังจากนายพลเจียงไคเช็คนำคนจีนกลุ่มหนึ่งหนีกองทัพคอมมิวนิสต์มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ในปี 2492 ชาวไต้หวันยุคนั้นมองว่าการรวมชาติไต้หวันกับจีนเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นสักวันและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยในปี 2535 ราว 1 ใน 4 ของคนไต้หวันยังมองตัวเองว่าเป็นคนจีน แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่ของไต้หวันไม่ได้คิดเช่นนั้นอีกแล้ว โดยผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยเจิ้งฉือ ของไต้หวันในช่วง 3 ปีหลังนี้ พบว่ามีคนไต้หวันไม่ถึง 3% ที่ยังมองตัวเองว่าเป็นคนจีน แต่มองว่าพวกเขาคือคนไต้หวัน
สำหรับการเลือกตั้งในวันที่ 13 มกราคมนี้เป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรค DPP ที่ต่อต้านการรวมชาติกับจีน, พรรค KMT หรือก๊กมินตั๋งที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมากกว่าและพรรค TPP พรรคทางเลือกใหม่ที่มีกลุ่มผู้สนับสนุนเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการนักการเมืองรุ่นเก่าอย่าง DPP และ KMT