วันนี้ นายอัษฎางค์ ยมนาค โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กเรื่อง “จบที่ศาล” โดยระบุว่า ปิยบุตรเคยกล่าวว่า“ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองและผู้มีอำนาจ เอาไว้ใช้กำจัดศัตรู” คำว่า “ผู้มีอำนาจ ชนชั้นปกครองของเขา” หมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล วุฒิสภา ศาล องคมนตรีและทหาร ซึ่งพฤติกรรมของปิยบุตรก็คล้ายกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในเครือข่ายพรรคก้าวไกล คือมีพฤติกรรม ”โจมตี ให้ร้ายและข่มขู่“ ธนาธร ปิยบุตร พิธา และคนอื่นๆ มักโจมตีว่า ชนชั้นปกครองและผู้มีอำนาจ อาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือทางการ แต่ข้อเท็จจริงคือ “กฎหมายไม่ทำร้ายใคร ถ้าคนไม่ทำผิดแล้ววิ่งไปหากฎหมายเอง กฎหมายเขียนไว้ก่อนและบังคับใช้อย่างเท่าเทียม”
ยังมีอีกคดี อัษฎางค์ ฝากก๊วนส้มยึดบรรทัดฐาน ศาลตัดสินถือว่าจบ รอลุ้นระทึกปมล้มล้างการปกครอง
ข่าวที่น่าสนใจ
กฎหมายเรื่องหุ้นสื่อ เขียนขึ้นก่อนที่ธนาธรและพิธาจะลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือกฎหมายอีกหลายมาตรา เช่น ม.112 เขียนขึ้นก่อนสมาชิกหรือสาวกก้าวไกลเกิดเสียอีก การที่พิธาก็รอดจากคดีหุ้นสื่อ ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายส้ม อาจมีความเห็นในใจต่างไปจากคำวินิจฉัยของศาลบ้างว่า ไอทีวีไม่มีใบประกอบวิชาชีพสื่อแล้วก็ตาม แต่ยังอาจประกอบธุรกิจสื่อได้ เหมือน Voice TV ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจสื่อ แค่ทุกวันนี้ Voice TV ก็อาศัยโซเชียลมีเดียทำธุรกิจสื่ออยู่ แต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ยอมรับโดยดุษฎีว่า “ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาเช่นไรก็ถือว่าจบ” ดังนั้น “ขอให้ทุกฝ่าย รวมทั้งก้าวไกล เครือข่ายและสาวก ยอมรับเป็นบรรทัดฐานต่อไป”
ส่วนคดีที่ “พิธา” และพรรคก้าวไกล เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาเพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ และฝากถึงก้าวไกล เครือข่ายและสาวกด้วยว่า อย่าลืมเรื่องการยอมรับบรรทัดฐานที่ว่า “เมื่อศาลวินิจฉัยออกมาเช่นไรก็ต้องถือว่าจบ”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง