หนังสือพิมพ์ เดอะ วอชิงตัน โพสต์ รายงานเมื่อสุดสัปดาห์ โดยอ้างแหล่งข่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ได้หารือบรรดาที่ปรึกษา ถึงความเป็นไปได้ที่จะเก็บภาษีสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากจีน ในอัตรา 60% หากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีนี้ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มาตรการดังกล่าวจะก่อความปั่นป่วนอย่างหนักให้กับสหรัฐ และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ในระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์สัญญาว่าจะเพิกถอนสถานะ “ประเทศที่ได้รับความอนุเราะห์ยิ่ง” (most favored nation) หรือ MFN ของจีน สถานะนี้ สหรัฐฯให้เกือบทุกประเทศที่ทำการค้าระหว่างกัน ส่วนประเทศที่ไม่มีสถานะ MFN ทำเนียบขาวสามารถเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเท่าไหร่ก็ได้
ทรัมป์ ซึ่งเป็นเต็งหนึ่งตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงชัยเก้าอี้ทำเนียบขาว ชี้ว่า การเก็บภาษีสินค้านำเข้า จะช่วยเพิ่มรายได้อย่างสำคัญมากให้กับงบประมาณสหรัฐ และอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐในปัจจุบัน ติดอันดับต่ำสุดในโลก
ช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์ยืนกรานอย่างบิดเบือนว่า จีนเป็นผู้จ่ายภาษี แต่ที่จริง เป็นบริษัทที่นำเข้าสินค้าจีนต่างหากที่จ่ายภาษี และส่งต่อต้นทุนให้ผู้บริโภค คณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ ระบุในรายงานเผยแพร่เมื่อปีที่แล้วว่า ภาษีนำเข้าสินค้าจีน 3 แสนล้านดอลลาร์ที่ทรัมป์เรียกเก็บ เกือบทั้งหมดเป็นภาระของผู้นำเข้าในสหรัฐ และผู้บริโภคต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น
หากมีการตั้งกำแพงภาษีอีกครั้ง ผลที่เกิดตามมาก็จะไม่ต่างกัน
เอริกา ยอร์ก นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส มูลนิธิภาษี ซึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวทางขึ้นภาษี กล่าวว่า ช่วงที่ทรัมป์นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี ในปี 2561-2562 สงครามการค้าจีน-สหรัฐ ก่อความเสียหายอย่างมหาศาล ถ้าเกิดขึ้นอีกในครั้งนี้ ความเสียหายจะกว้างไกลแบบยากจะเปรียบเทียบ ขณะที่ อาดัม โพเซน ประธานสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศพีเตอร์สัน กล่าวว่า หากรัฐบาลทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงจากจีน เป็นบริษัทอเมริกันเองที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ทั้งในจีนและประเทศที่สามอีกเป็นจำนวนมาก
สำหรับจีนเป็นประเทศคู่ค้าใหญ่อันดับสาม รองจากเม็กซิโกและแคนาดา สถิติเดือนพฤศจิกายน จีนมีสัดส่วน 11.7% ของการค้าต่างประเทศทั้งหมดของสหรัฐ