เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2567 ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ “ดร.เอ้” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “เอ้ สุชัชวีร์” โดยระบุว่า “ผู้นำสิงคโปร์” ที่คนไทย “ต้องรู้เขา ต้องรู้เรา” ไม่น่าเชื่อ มีข่าวในประเทศไทยน้อยมาก ที่นำเสนอเรื่อง การถ่ายโอนอำนาจจากนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ส่งต่อไปยัง รองนายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง ทั้งที่เป็นเรื่องที่ผู้นำไทย และคนไทย จำเป็นต้องจับตา มอง อย่างตาไม่กระพริบ!
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า การเมืองสิงคโปร์มีผลมากต่อประเทศไทย ทั้งทางตรง เพราะสิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศคู่ค้า และมิตรประเทศของไทยในภูมิภาคอาเซียน ส่วนทางอ้อม เพราะสิงคโปร์มียุทธศาสตร์ชาติ ที่ “เอาจริงเอาจัง” ไม่ทำอะไรแบบขอไปที มองไกล ไม่มองใกล้ วางแผนปฎิบัติการต่อเนื่อง การ “จับจังหวะย่างก้าว” ของสิงคโปร์ จึงมีประโยชน์มหาศาลกับผลประโยชน์ของชาติไทย เพราะการดูการบ้านของคนเก่ง ย่อมพัฒนาต่อยอด ได้ ดียิ่งกว่า จริงไหมครับ
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า ประเทศสิงค์โปร์มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 3 คน หรือ 3 เจนเนอเรชั่น คือ 1. ลี กวน ยู 2. โก๊ะ จ๊ก ตง 3. ลี เซียน ลุง และกำลังส่งมอบสู่ ผู้นำเจนต่อไปคือ 4. ลอว์เรนซ์ หว่อง สำหรับยุทธศาสตร์การสร้างชาติของสิงคโปร์ ไม่ได้ซับซ้อน เพียงแต่ “เป้าหมายชัด เชื่อมั่น มุ่งมั่น” ลุยทำต่อเนื่อง โดยเจนแรก นายกรัฐมนตรี ลี กวน ยู ทำหน้าที่ “วางโครงสร้าง” จากประเทศไร้ทรัพยากร สร้างตัวตนจาก “ยุทธศาสตร์พื้นที่” สร้างท่าเรือ สร้างสนามบินระดับโลก และ “พัฒนาทรัพยากรมนุษย์” ปฏิรูปการศึกษาอย่างเข้มข้น เพราะเป็นทางเลือกหนึ่งเดียว เพื่อ “ความอยู่รอด” ของชนชาติ
เจนสอง นายกรัฐมนตรี โก๊ะ จ๊ก ตง “สืบสาน” ยุทธศาสตร์เดิม โดยเพิ่มเรื่องบทบาท “การต่างประเทศ” เราจะเห็นท่านเยือนต่างประเทศ เชื่อมความสัมพันธ์กับชาติอาหรับที่มั่งคั่ง และสร้างความเป็นผู้นำอาเซียน เพื่อชิง “พื้นที่อิทธิพลในโลก” ทำให้สิงคโปร์มีอำนาจต่อรองทางการเมือง และเศรษฐกิจ จนเป็นศูนย์กลางด้านการเงินของโลก เจนสาม นายกรัฐมนตรี ลี เซียน ลุง บุตรชายคนโต ของท่านลี กวน ยู ก้าวขึ้นนำประเทศด้วยปริญญาตรีด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ทำให้มองอนาคต ด้วยวิสัยทัศน์สร้างชาติด้วย “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” อย่างเข้มข้น