วันที่ 2 ก.พ.67 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ เปิดใจกับทีมข่าวท็อปนิวส์ว่า หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2564 บ้านเมือง ณ ห้วงเวลานั้น มีการจัดกิจกรรมเรียกร้องที่สำคัญ 10 ประการ ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จนทำให้นักวิชาการ ตลอดจนผู้ใหญ่หลายท่านในบ้านเมือง ต่างแสดงความเป็นกังวลเกี่ยวกับการ เรียกร้องนั้นว่า อาจถูกใช้เป็นช่องทางในการก้าวล่วง จาบจ้วงและทำให้ระคายเคือง เบื้องพระยุคลบาท ตนในฐานะพสกนิกรไทยคนหนึ่ง ที่รักและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงรับไม่ได้ และยิ่งเมื่อได้มาติดตามข่าวสาร ตลอดจนคำวินิจฉัยของศาล ซึ่งมีการบรรยายพฤติกรรม ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะหัวพรรคก้าวไกล ที่มีการนำเสนอข้อมูลซึ่งศาลวินิจฉัยแล้วว่า เป็นสิ่งต้องห้าม และเป็นสิ่งที่มิบังควร
“ธีรยุทธ” เปิดใจ ยึดหลักความถูกต้อง เดินหน้าร้องก้าวไกล ยุติแนวคิดรื้อแก้ ม.112
ข่าวที่น่าสนใจ
นายธีรยุทธ กล่าวต่อไปว่า ตนได้ติดตามเนื้อหาสาระ และได้ไปเห็นร่างสำเนา ซึ่งไม่ได้ถ่ายและสำเนาไว้เป็นหลักฐาน แต่ใช้วิธีการอ่านและจดจำไว้ทั้งหมดก็ยอมรับว่ารู้สึกตกใจ จึงตัดสินใจ เก็บหลักฐานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในช่วงการหาเสียงของพรรคก้าวไกล นโยบายของพรรค การขึ้นกล่าวปราศรัยของนายพิธา ตามเวทีการปราศรัยต่างๆ อีกทั้งเฝ้าติดตามสมาชิกของพรรคว่า มีการขานรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งปรากฎว่าเข้าข่ายการกระทำความผิด ในสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้ว จึงตัดสินใจร่างคำร้องในที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อผู้สื่อข่าวถามทนายธีรยุทธต่อว่า ส่วนตัวแล้ว มีความตั้งใจ หรือมีจุดประสงค์ ที่จะต้องการนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ ส่วนตัวไม่ได้มีเจตนาและต้องการจะยุบพรรคก้าวไกล เพียงแต่อยากให้พรรคก้าวไกล หยุดและล้มเลิกนโยบายแก้ไข มาตรา 112 เท่านั้น
นอกจากนี้ ทนายธีรยุทธ ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ตนไม่ได้รู้สึกกดดันกับการออกมาร้องพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ เพราะตนเป็นนักกฎหมาย เมื่อเลือดที่อยู่ในตัวมันเป็นกฎหมาย เป็นหลักการแห่งกฎหมาย เราต้องพิทักษ์ ยึดถือ และรักษาไว้ ดังนั้น สิ่งที่ศาลวินิจฉัยออกมาแล้วว่า มีการซ่อนเร้น มันย่อมเป็นความหมายที่ปรากฎอยู่ในตัวของมันเองว่า หากไม่พินิจพิจารณาด้วยประสบการณ์จริง ก็จะไม่เล็งเห็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องการจะทำ ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนหลงไปได้ ทั้งนี้ทนายธีรยุทธ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า หากพรรคก้าวไกลเจริญเติบโตโดยชอบตนก็ยินดีด้วย แต่ต้องไม่ลืมว่า การแก้ไขกฎหมาย ไม่ได้ปิดช่อง แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการนิติบัญญัติ
ทนายธีรยุทธ ยังกล่าวเน้นย้ำว่า จากพฤติการณ์หลายอย่างที่เราเห็น บวกกับ ความเห็นของนักวิชาการ สื่อมวลชนอาวุโสหลายคนที่ให้ความเห็นเรื่องนี้ ตนก็เชื่อว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นผู้ทรงภูมิความรู้อยู่แล้ว จะวางบรรทัดฐานเพื่อให้เกิดความสงบสุขในการเมืองการปกครองของบ้านเราไปถึงภายภาคหน้า ส่งผลไปถึงสิ่งที่ตนคาดหวังมากกว่านั้นก็คือว่า หากต่อไปนักการเมืองหรือพรรคการเมืองใดๆ หรือพรรคการเมืองไหนก็แล้วแต่
หากคิดจะกระทำการหรือคิดวางนโยบาย หรือพูดจาในสิ่งใดๆ มันอาจจะกระทบกระเทือนเบื้องพระยุคลบาทหรือจาบจ้วงหรือกัดเซาะบ่อนทำลาย หรือไปเปิดช่องให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์หรือสถาบันหลักของชาติอื่นๆ ก็ขอให้ดูบรรทัดฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวางไว้ในคดีนี้ เพื่อให้เกิดความตระหนักเพิ่มขึ้น จะได้หลีกเลี่ยง หรืองดการกระทำเสีย เพื่อที่ต่อไปภายภาคหน้าจะไม่เกิดเรื่องราวแบบนี้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วางบรรทัดฐานไว้แล้วกับคำร้องคดีนี้ อันนี้คือสิ่งที่ตนคาดหวังไว้เท่านั้นเอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-