วันที่ 11 ก.พ. 67 ที่บ้านพัก นายถาวร เสนเนียม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการคมนาคม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ท็อป นิวส์ กรณีที่การบินไทยจะจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 787 จำนวน 45 ลำ โดย นายถาวร ให้ความเห็นว่า บริษัทการบินไทยอยู่ระหว่างกลางฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากเป็นหนี้ใกล้เคียงกับยอดทรัพย์สิน ซึ่งในช่วงปี 2557-2563 การบินไทยขาดทุนสะสม 54,000 ล้านบาท
ข่าวที่น่าสนใจ
ขณะที่ตนมียังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยคมนาคม ทางคณะรัฐมนตรีในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กรรมการหรือบอร์ดการบินไทย ได้ลงมติให้รัฐมนตรีที่เข้ามารับผิดชอบกำกับดูแล มีเครื่องบิน 25 ลำในยุคนั้น ปรากฏว่าคนให้ บอร์ดการบินไทย ไปทำแผนธุรกิจการบิน ว่าจะบินเส้นทางใด จะซื้อเครื่องบินพิศัยใด และจะบรรทุกผู้โดยสารประมาณเท่าไหร่ หรือจะแข่งกับโลคอสหรือไม่
โดยขณะนั้นการบินไทย ไม่สามารถทำแผนธุรกิจเสนอให้เกิดความมั่นใจได้ว่า หากซื้อเครื่องบินแล้วธุรกิจจะเดินไปได้ ทั้งนี้เครื่องบินที่เคยจัดซื้อในยุคของ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คือ A340 500 และ 600 มาทำการบิน ปรากฏว่า ซื้อเครื่องบินราคาแพง นำมารีโนเวทปรับปรุง เพื่อใส่ที่นั่ง ซึ่งได้น้อยกว่าสเป็ค จาก 300 กว่าที่นั่ง เหลือ 200 กว่าที่นั่ง เมื่อนำมาบินจากประเทศไปอเมริกา ขาดทุนทุกเที่ยวบิน และบินอยู่ 3 ปีเศษก็ปลดระวางไปจอดไว้ที่อู่ตะเภา จากนั้นขายให้กับกองทัพอากาศได้เพียงลำเดียว ฉะนั้น จึงเป็นบทเรียนจากการซื้อเครื่องบินที่ไม่ได้ทำแผนธุรกิจการบินให้สอดคล้องกับการใช้บริการของประชาชนหรือนักท่องเที่ยว รวมทั้งนักเดินทาง
ทั้งนี้การซื้อเครื่องบิน 45 ลำ หากซื้อเพื่อต้องการให้ได้ค่าคอมมิชชั่น และต้องการหาช่องทางทุจริต พนักงานการบินไทยทุกคนเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว และจะต้องเข้าสู่กระบวนการเคอรี่ รีทัชใหม่ รวมทั้งต้องเสียสละลาออกจากการเป็นพนักงานการบินไทย “ความรักคุณเท่าฟ้า ที่คุณภาคภูมิใจ” กำลังจะฟื้นขึ้นมาให้คุณภาคภูมิใจอีกครั้ง
ดังนั้น ขอให้ทุกฝ่ายเข้าไปตรวจสอบ การตัดสินใจซื้อเครื่องบินล็อตนี้ ว่า ซื้อเพื่อต้องการหาผลประโยชน์ หรือซื้อเพื่อที่จะฟื้นฟูกิจการให้เป็นบริษัทการบินแห่งชาติ ที่สามารถสร้างความภาคภูมิใจและสร้างกำไรให้กับบริษัทได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
