ต้องถือเป็นส.ส.ที่มีกระแสข่าวต่อเนื่อง สำหรับผู้แทนฯหน้าใหม่ ในฐานะส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 19 พรรคพลังประชารัฐ อย่าง นางสาววทันยา วงษ์โอภาสี หรือ มาดามเดียร์ อดีตผู้จัดการทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี และ อดีตผู้บริหารค่ายสื่อสปริงนิวส์ ที่มีส่วนร่วมสำคัญพา บริษัท ขอบสนาม จำกัด สื่อออนไลน์สายกีฬา ไปเป็นส่วนหนึ่งของ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG ทั้งๆที่รับรู้โดยทั่วไป ว่า “เบลล์ ขอบสนาม” เป็นอีกแกนนำสื่อ ที่มีจุดยืนฝั่งตรงข้ามรัฐบาล และเคลื่อนไหวแนวคิด ร่วมกับกลุ่มม็อบ 3 นิ้ว มาโดยตลอดต่อเนื่องผ่านช่องทางโซเชียลต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ภาพแรกที่สาธารณชนให้ความสนใจ ความเป็น “มาดามเดียร์” คือ ภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ที่่จะเข้ามาต่อยอดความคิดพัฒนาประเทศ เพราะได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ แต่หลายครั้ง มาดามเดียร์ ก็ทำให้เกิดความสับสน ว่าเป้าหมายการทำงานกับพรรคพลังประชารัฐ คืออะไร และเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่
อย่างกรณีออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 คัดค้านการจัดสรรงบประมาณจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ว่า ปัญหาเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุขที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความจำเป็นมากกว่า
ต่อมา มาดามเดียร์ เดินหน้าจัดตั้งกลุ่มดาวฤกษ์ ที่มี 6 ส.ส. พลังประชารัฐ ประกอบด้วย วทันยา วงษ์โอภาสี , ศิริพงษ์ รัส มี ส.ส.เขตหนองจอก , กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.เขตคลองเตย-วัฒนา , ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.เขตราชเทวี-พญาไท-จตุจักร , ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ ส.ส.เขตบางกะปิ-วังทองหลาง และ ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.เขตดุสิต-บางซื่อ ร่วมสังฆกรรม เดินหน้ากิจกรรมลงพื้นที่ชุมชนต่างๆ ช่วยเหลือชาวบ้าน
นัยหนึ่งถูกมองว่า เดียร์เป็นหัวหน้ากลุ่ม เคลื่อนไหว เพื่อเปิดทางสู่เก้าอี้กรรมการบริหารพรรค และจังหวะก้าวสู่ตำแหน่งรัฐมนตรี จนถูกสื่อนำไปวิเคราะห์ ว่า เป็นชนวนสร้างปมขัดแย้งกับ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส และอีกหนึ่งสถานะเป็นกรรมการบริหารพรรค รับผิดชอบพื้นที่กทม. แต่เจ้าตัวปฏิเสธว่า ตั้งกลุ่มส.ส.ใหม่ ไม่ได้หวังต่อรองตำแหน่งใดๆ แค่อยากเป็นส.ส.ที่ดีตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน
จนมาถึงช่วงจังหวะสำคัญ ที่แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง แต่อีกด้านอาจมองได้ว่าเป็นการทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส. จากกรณี มาดามเดียร์ และพลพรรค กลุ่มดาวฤกษ์ ตัดสินใจโหวตสวนมติพรรค งดออกเสียงสนับสนุน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในศึกอภิปรายไม่ไว้ววางใจเมื่อช่วงต้นปี 2564
จนกลายเป็นเผือกร้อน ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับภูมิใจไทย จนทำให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ก่อนมีมติให้ ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์ออกจากการทำงานในวิปรัฐบาล รวมถึงการถอดออกจากตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งเป็นระยะเวลา 3 เดือน
จากนั้นเป็นต้นมาดูเหมือนว่าสถานะดาวฤกษ์ในพรรคพลังประชารัฐก็ริบหรี่แสงลงเรื่อย ๆ ขณะที่สมาชิกภายในกลุ่มก็เริ่มขยับขยายหาที่ทางให้ลงตัวมากขึ้น ด้วยไม่อยากมีปัญหากับผู้ใหญ่ภายในพรรค เว้นแต่ มาดามเดียร์ ที่ดูเหมือนจะมีเป้าหมายใหม่ในการเลือกตั้ง ยังคงมีปฏิกริยาสวนทางกับพรรคพลังประชารัฐในบางโอกาส
จนกระทั่งมาถึงประเด็นใหญ่ เมื่อ มาดามเดียร์ เลือกเดินตามสื่อค่ายใหญ่ ออกมา call out ผ่านหน้าเพจเฟซบุ๊ก ในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการเดินหน้าจัดการกับขบวนการสร้างข่าวปลอม โดยมุ่งไปที่พวกอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่แค่เหล่าเกรียนคีย์บอร์ดทั่วไป แต่ประเด็นดังกล่าวกลุ่ม 6 องค์กรสื่อ จับไปประเด็นกล่าวหารัฐบาลคุกคามสิทธิเสรีภาพ ต้องการปิดกั้นข่าวสาร
ด้วยข้อความบางช่วงตอนว่า การที่นายกรัฐมตรีมีคำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดตั้งหน่วยงานให้เร่งติดตามและเอาผิดคนที่ปล่อยเฟคนิวส์ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่องค์กรสื่อ บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือกระทั่งประชาชนธรรมดาหากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้เลยทันที
ขณะที่ สมาคมสื่อมวลชนได้ร่วมออกแถลงการณ์คัดค้านคำสั่งของนายกรัฐมนตรีฯ ว่าการกระทำดังกล่าวเท่ากับเป็นการปิดปากสื่อมวลชน ซึ่งไม่ต่างจากการปิดหูปิดตาประชาชน เป็น “การจำกัดสิทธิและเสรีภาพ” ของพลเมืองไทย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้สร้างความไม่สบายใจในฐานะที่ “เดียร์” เคยทำงานในองค์กรสื่อ การแสดงจุดยืนของรัฐบาลที่มองการเรียกร้องความเดือดร้อนของประชาชนเป็นศัตรู ในขณะที่รัฐบาลคือตัวแทนประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ และหน่วยงานราชการก็ควรเป็นที่พึ่งให้ประชาชนในการบริการและคอยให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ที่สุด โดยเฉพาะในเวลาที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤตเช่นนี้
ดังนั้นการบังคับใช้กฎหมายเฟคนิวส์ เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าไม่แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุนั้นสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่อาจเป็นไปอย่างที่หวัง แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ “การที่ผู้บริหารประเทศไม่ได้ยินเสียงที่แท้จริงจากประชาชน” และด้วยการพุ่งเป้าไปที่การ call out วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจและการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ จนกลายเป็น content ให้สื่อฝั่งตรงข้ามนำไปขยายความ
แม้ กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา เดียร์ ก็ยังคงปฎิบัติเช่นเดิม แต่การปฏิบัติในครั้งนี้ ดูว่าจะสวนทางกับข้อเท็จจริง จะเป็นเพราะทีมงานที่ปรึกษา หรือตัวเองก็ตาม นอกจากนั้น จะเห็นได้ว่า ครั้งนี้ไม่มีใคร ที่แสดงออกไปในทิศทางเดียว กับ เดียร์ อีกแล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบ แหล่งข่าวต่างๆ ตรงกัน ว่า วันนี้ เดียร์ ไม่น่าที่จะคิดเดินต่อไป กับ พปชร. อีกแล้ว โดยมีการระบุ ว่า ล่าสุดมีการเดินไปพูดคุยกับพรรคการเมืองเก่าแก่ เหมือนว่าจะลงตัว สำหรับตัวเอง แต่งานนี้ต้องขอบอกว่า จะไม่มีกลุ่มดาวฤกษ์ เดินตามไปด้วย จะด้วยผลใดก็ตาม แต่มีเสียงกระซิบ ออกมาว่า พอกันที “ หยุดเอากลุ่มพวกเราไปต่อรอง “ ปรากฏการณ์แบบนี้ และข่าวแบบนี้ ผู้สื่อข่าวยังรู้ มีหรือ ผู้ทีมีอำนาจในพรรค ไม่ว่าจะเป็น ลุงป้อม หรือลุงตู่ จะไม่รู้ได้ อย่างไร ?
ถึงตรงนี้เมื่อทางเลือก มาดามเดียร์ ในฐานะส.ส.ส้มหล่น เหลือน้อยเต็มที และที่ผ่านมามีแนวคิดตรงข้ามกับ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ชัดเจนในหลายๆเรื่อง ก็ต้องจับตาดูอนาคต ต่อจากนี้ มาดามเดียร์ จะตัดสินใจเลือกเส้นทางการเมืองของตัวเอง ต่อไปอย่างไร??
