นายแรนด์ พอล วุฒิสมาชิกสหรัฐ แห่งพรรครีพับลิกัน ออกบทความใน Responsible Statecraft นิตยสารออนไลน์ของสถาบันควินซี ซึ่งเป็นนิตยสารที่เผยแพร่ข่าวสารและบทวิเคราะห์อิสระ เกี่ยวกับจุดตัดของนโยบายต่างประเทศ โดยพอลได้แสดงความเห็นว่า การยึดทรัพย์สินอธิปไตยของรัสเซีย เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดสงครามเศรษฐกิจ หากวุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายการสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและโอกาส สำหรับชาวยูเครนขึ้นมาใหม่ การดำเนินการนี้ก็จะเป็นการเสริมมุมมองที่รุนแรงในรัสเซียเท่านั้น
พอลระบุต่อว่า สถานการณ์นี้จะทำลายความหวังที่เหลืออยู่ที่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซีย จะมีเสถียรภาพหรือดีขึ้นได้ เพื่อยูเครน การยึดทรัพย์สินของรัสเซียจะหมายถึงการทำลายล้าง เนื่องจากรัสเซียจะเชื่อว่า ไม่มีข้อตกลงการเจรจากับยูเครนอีกแล้ว อย่างไรก็ดี หากยังคงรักษาทรัพย์สินที่แช่แข็งเอาไว้ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ สหรัฐก็จะสามารถใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือต่อรองในระหว่างการเจรจาได้ นอกจากนี้ หากมีการยึดกองทุนอธิปไตยของรัสเซียเกิดขึ้น สิ่งนี้ก็มีแนวโน้มที่จะไปกัดกร่อนความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์ของทั่วโลก โดยประเทศอื่นๆนั้น จะทำการย้ายทุนสำรองไปใช้ในสกุลเงินอื่นแทน
อย่างไรก็ดี คำเตือนของพอล ค่อนข้างจะมีความขัดแย้งกับประธานาธิบดีกีตานัส เนาเซดา แห่งลิทัวเนีย ที่ได้ทำการเรียกร้องในการประชุมความมั่นคงที่มิวนิก แห่งเยอรมนี โดยเนาเซดาได้เรียกร้องให้สหภาพยุโรป เร่งดำเนินการหาวิธีใช้ทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกแช่แข็ง เพื่อนำมาช่วยเหลือยูเครนได้แล้ว และต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็วมากกว่านี้ เพราะมาตรการคว่ำบาตรทั้ง 13 ชุดนั้น ส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจรัสเซียในวงที่จำกัดเท่านั้น
สหรัฐและสหภาพยุโรปได้อายัดทรัพย์สินราวครึ่งหนึ่งของธนาคารกลางรัสเซีย ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เริ่มต้นความขัดแย้งในยูเครน และขณะนี้ ก็พยายามหาวิธีไปถึงขั้นยึดทรัพย์สินเหล่านั้น เอาไปให้ยูเครน ซึ่งรัสเซียได้ออกมาเตือนหลายครั้งว่า จะเป็นภัยคุกคามต่อระบบการเงินโลก และถ้าคิดทำเช่นนั้นจริง ก็จะตอบโต้ไปถึงชาติตะวันตก ที่มายึดทรัพย์สินของตน