“สว.” สกัด “ก้าวไกล” ล้างสมองเด็กซัด “สื่อ” อย่าให้ราคา

แม้แต่เด็กตาดำๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ไม่เว้นจากความบ้าคลั่งการเมืองของ “ก้าวไกล” สืบเนื่องจากวันก่อนเพจการเมืองชื่อดัง “วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร” แฉแหลกว่า ขณะนี้มีพวกมือบอนใน “พรรคก้าวไกล” ติดสติ๊กเกอร์สอดไส้ไปกับอุปกรณ์การเรียนการสอนให้เด็ก ๆ ได้จดจำโลโก้ “พรรคก้าวไกล” ซึ่งรับรู้กันดีว่า พรรคการเมืองแห่งนี้มีแนวคิดล้มล้างการปกครองและเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ทำไม “ส.ว.” ต้องขยับจัดหลักสูตรและการสื่อสารเชิงรุกเพื่อต่อกรกับ “พรรคการเมือง” ที่ฝักใฝ่ล้มล้างการปกครอง เจ้าภาพในการดำเนินการคือ “นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ” ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้ริเริ่มหลักสูตรเชิงรุกด้านการสื่อสาร เพื่อพัฒนาความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรม หรือ Mindset ในการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมด้วยกลยุทธ์ด้านการสื่อสารแบบ Proactive สร้างองค์ความรู้ที่เป็นชุดความรู้ ความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่คู่สังคมไทย และด้วยเทคนิคการสื่อสารสมัยใหม่ที่มีกลไกเชิงสร้างสรรค์ มีนวัตกรรมและวิธีการเชิงรุกด้วยกระบวนการกลุ่มและสื่อออนไลน์หรืออื่น ๆ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจนสามารถสร้างพลังและพฤติกรรมที่แสดงถึงการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ และมีการสร้างเครือข่ายให้มีความยั่งยืน

โดยมี 2 หลักสูตรต้นแบบที่ประสบผลสำเร็จ คือ 1.หลักสูตร Seed Thailand โดยคำว่า Seed Thailand มีความหมายว่า “แตกหน่อพันธุ์ดี ไม่มีที่สิ้นสุด ” ซึ่งหลักสูตรนี้ได้ขยายผลพันธุ์ดีไปสู่สังคมจนเป็นที่ประจักษ์แล้ว และยังคงขับเคลื่อนต่อไปด้วยหน่วยงานด้านความมั่นคงและมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม และ 2.หลักสูตร Knight 410 เป็นหลักสูตรที่สร้างแกนนำร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมการสื่อสารในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกต้อง เพื่อดำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ โดยคำว่า “Knight 410” มีความหมายว่า “อัศวินผู้ทำหน้าที่สื่อสารความจริงด้วยความรัก” ซึ่งทั้ง 2 หลักสูตร สามารถนำไปเป็นตัวชี้วัดการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในส่วนของหน้าที่ปวงชนชาวไทย หน้าที่ของรัฐ โดย กมธ.คาดหวังว่า ผลการศึกษาจะนำมาเป็นแนวทางเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างความมั่นคงของประเทศ ตลอดจนทำให้เกิดประโยชน์ต่อข้อมูลในกระบวนการนิติบัญญัติ

ทั้งนี้กรรมาธิการ ได้มีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ควรมุ่งเน้นภารกิจในการผลักดันและติดตามการดำเนินงานว่า ได้ดำเนินการในแนวทางสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพหรือมีความก้าวหน้าเพียงใด รวมทั้งมีปัญหาและอุปสรรคมากน้อยเพียงใด เพื่อให้เกิดความสัมฤทธิ์ผลต่อการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการเร่งรัด ผลักดัน ส่งเสริม และร่วมแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐควรมุ่งเน้นการพัฒนาแนวทางสนับสนุนการจัดทำข้อมูลสนับสนุนการทำงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศ ได้ดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจในประเด็นการสื่อสารในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อไป

ด้าน “นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวแนะนำเพิ่มต่อว่า กรณีที่ นายชาดา ไชยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โต้เถียงรุนแรงกับนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระหว่างการอภิปรายญัตติเสนอให้ทบทวนกฎหมายการถวายอารักขาบุคคลสำคัญ ส่วนตัว คิดว่าการถวายความปลอดภัยเป็นหน้าที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรีที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว ไม่สมควรที่จะนำมาถกในสภา เพราะจะเป็นประเด็นและลุกลามต่อไปแบบไม่รู้จบ จากคนกระทำผิดของคนเพียงไม่กี่คน ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ควรจะนำมาขยายผล เพราะถ้าขยายแล้วจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ รวมถึงการสื่อไปยังต่างประเทศ เพื่อนำไปกล่าวว่าประเทศไทยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วจะไปเข้าทางกลุ่มคนพวกนี้

นายสามารถ กล่าวต่อว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ “นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่มีกึ๋นในการที่จะคุมสื่อ เพราะมีคนเพียงหยิบมือเดียวแต่สามารถสร้างผลกระทบในวงการ แล้วท่านบอกว่าเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องแก้ ผมว่ามันไม่ใช่ ในรัฐบาลที่แล้ว “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” คนกลุ่มนี้ก็พยายามกระทำเช่นนี้ ถ้าจำกันได้เมื่อวันที่ 14 ต.ค.63 เด็กกลุ่มหนึ่งก็เข้าประชิดรถพระที่นั่งสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีและพรรคก้าวไกลก็ได้เสนอญัตติว่าจะต้องนำมามาถกในสภาฯ แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้ให้พูด ญัตตินี้จึงถูกตีตกไป ไม่สามารถนำมาพิจารณาได้ 4 ปีเต็มจนรัฐบาลหมดวาระ เพราะ “พลเอกประยุทธ์” รู้ว่าเรื่องใดควรพูด เรื่องใดไม่ควรพูด และเรื่องใดจะทำให้เสียพระเกียรติถ้านำมาพูด

แต่กลับกลายเป็นว่า วันนี้รัฐบาลชุดนี้ นำมาพูด และพรรคฝ่ายค้านก็ได้พูดแล้ว และจะนำไปขยายผลต่อแน่นอน ผมคิดว่าอายุของนายเศรษฐา ทวีสิน นับนิ้วถอยหลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เลย งานเลี้ยงร่วมของ สส.พรรคร่วมรัฐบาลที่เพิ่งผ่านมา เปรียบ​เหมือนเป็นการเลี้ยงส่ง “นายเศรษฐา” ให้กลับมาอยู่บ้าน บรรยากาศเหมือนงานเลี้ยงเกษียณและพอวันรุ่งขึ้นรัฐบาลก็เป็นผู้เสนอญัตติที่ไม่ควรจะนำมาพูดเข้าสภาฯ

นายสามารถ กล่าวต่อว่า วันนี้สิ่งสำคัญที่สุด คือ สื่อมวลชนไม่ควรไปทำข่าว บุ้ง ตะวัน หรือ หยก อีกเด็ดขาด เพราะศาลรัฐธรรมนูฐได้วินิจฉัยแล้วว่า การกระทำผิดมาตรา 112 หรือการพยายามแก้กฎหมายมาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครอง และ สื่อมวลชนที่ไปนำเสนอข่าว “บุ้ง” อดอาหาร และ “ตะวัน” ติดคุกไม่ได้รับการประกัน ถือว่าเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองด้วยหรือไม่ เพราะอย่างคดีหมิ่นประมาท ไม่สามารถจะนำมาเสนอข่าวซ้ำได้ เพราะต้องได้รับการลงโทษ และ ขบวนการที่จะแก้ไขมาตรา 112 เป็นขบวนการลิดรอนสิทธิ์ที่ต้องการให้สถาบันลงมา ขัดแย้งกับประชาชน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองชัดเจน สื่อมวลชนใดที่นำเสนอเรื่องนี้ถือว่านำมาขยายซ้ำและมีความผิด ถ้ามีการไปฟ้องร้องศาลรัฐธรรมนูญจะสร้างความเดือดร้อนกันไปหมด

#ก้าวไกล #ส.ว. #สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ #สามารถ เจนชัยจิตรวนิช #112 #สื่อมวลชน #ศาลรัฐธรรมนูญ