นายธีรยุทธ สุววรรณเกษร ในฐานะผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและพรรคก้าวไกล กระทำการล้มล้างการปกครอง เข้ายื่นสำเนาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 คดีพรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ฉบับเต็มที่รับรองโดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายทะเบียนพรรคการเมือง รวมทั้งยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบการรับเงินบริจาคของพรรคภูมิใจไทยจากห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีการถือหุ้น โดยไม่ชอบของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เนื่องจากเห็นว่าอาจเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้เข้าข่ายยุบพรรคภูมิใจไทย ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 (3)
นายธีรยุทธ กล่าวว่า การยื่นสำเนาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็มให้กับกกต. เพื่อต้องการให้พิจารณายุบพรรคก้าวไกลโดยเร็ว ตามกรอบระเบียบของกกต. ที่ตนได้ศึกษาพบว่ามีการกำหนดระยะเวลาแต่ละขั้นตอนไว้ชัดเจน รวมแล้วไม่น่าจะเกิน 90 วัน นับแต่วันที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวน ก็สามารถมีคำวินิจฉัยยื่นต่อศาลได้ และเห็นว่า กกต.ไม่จำเป็นที่จะต้องเชิญผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงอีก เพราะทั้งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น และนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ตลอดจนฝ่ายความมั่นคง ได้ชี้แจงข้อมูลให้กับศาลรัฐธรรมนูญอย่างครบถ้วนแล้ว ซึ่งในคำวินิจฉัย ศาลยกเหตุการณ์ ที่สมาชิกพรรคก้าวไกลปรากฏตัวทำกิจกรรมร่วมกับ กลุ่มเยาวชน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่เป็นเครือข่ายเดียวกัน โดยเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ในกระบวนการพิจารณาของศาลได้รับข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคง อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ซึ่งศาลได้อนุญาตให้ตนได้อ่าน แต่ไม่สามารถทำการคัดถ่ายสำเนาออกมาได้ เพราะเป็นความลับชั้นความมั่นคงของประเทศ หากหลุดออกมาอาจจะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทำนองไม่สุจริต ซึ่งข้อมูลดังกล่าวพบว่ามีเหตุการณ์ความเชื่อมโยงที่มากกว่าที่ศาลอ่านและเผยแพร่ผ่านสาธารณะ อย่างไรก็ตามเชื่อว่ากกต.ในฐานะเป็นหน่วยงานตรวจสอบ สามารถไปขอข้อมูลหลักฐานเหล่านี้จากทางศาลได้ จึงไม่จำเป็นต้องเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบอีก
นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า ตนยังคงติดตามความเคลื่อนไหว ของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 รวมถึงที่จะมีการเสนอ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งขณะนี้ยังมีข้อถกเถียงว่าจะให้ผู้ที่เป็นจำเลยในคดีมาตรา 112 ได้รับอานิสงส์ ด้วยหรือไม่ ซึ่งตนเห็นว่า มาตรา 112 ไม่ใช่คดีทางการเมือง แต่เป็นคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญวางบรรทัดฐานเอาไว้แล้วว่าเป็นทำลายและการล้มล้างการปกครอง ดังนั้นหากร่างกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ คนที่กระทำความผิดในคดีมาตรา 112 ได้รับการนิรโทษกรรมด้วย ก็จะดำเนินการตามช่องทางกฎหมาย อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้ติดตามการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในชั้นกรรมาธิการ เพื่อที่จะดูว่าใครมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร โดยเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาตรวจเทียบ
ส่วนกรณีแกนนำพรรคก้าวไกลไม่แสดงความกังวลว่าจะถูกยุบพรรคจากกรณีดังกล่าว และพร้อมไปจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ก็เห็นว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่การดำเนินกิจการของพรรคก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด การใช้สิทธิ์เสรีภาพในการแก้ไข มาตรา 112 ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ห้าม แต่ต้องเป็นไปโดยชอบและตามที่กฎหมายกำหนด อย่าใช้สิทธิ์เสรีภาพที่เกินขอบเขต ซึ่งตนจะมีการติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับการยื่นให้ กกต. ตรวจสอบพรรคภูมิใจไทยก็เนื่องจากตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีการระบุชัด ว่านายศักดิ์สยาม ยังคงเป็นผู้ถือหุ้น ในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น และการที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวนำเงินมาบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทย ในปี 2565 จำนวน 6 ล้านบาท อาจเป็นเงินที่ได้มาโดยมีเจตนาลวง ซ่อนเร้นหรือนิติกรรมอำพราง ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญหมวด 9 ว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์มาตรา 187 จึงมีผลให้เงินบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทยจำนวนดังกล่าวอาจเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมาตรา 72พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดห้ามมิให้พรรคการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตนจึงขอให้กกต.และนายทะเบียนดำเนินการกับพรรคภูมิใจไทย โดยไม่เลือกปฏิบัติ เพราะก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยวางบรรทัดฐานไว้ในคำวินิจฉัยที่ 5/63 กรณียุบพรรคอนาคตใหม่ว่า การกู้ยืมเงินของพรรคอนาคตใหม่จึงมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยง การรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดตามมาตรา 66 เมื่อการรับบริจาคดังกล่าวต้องห้ามจึงเป็นการรับบริจาคเงิน โดยรู้หรือควรรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กรณีจึงถือได้ว่าพรรคอนาคตใหม่กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 และเป็นเหตุสั่งให้ยุบพรรคก้าวไกลตามมาตรา 92
กรณีของพรรคอนาคตใหม่ศาลได้วินิจฉัยแหล่งที่มาของเงิน ว่าเป็นแหล่งที่มาโดยไม่ชอบ กรณีของนายศักดิ์สยามที่ดำเนินการสร้างกระบวนการที่ศาลวินิจฉัยแล้วว่า มีการซ่อนเร้น ปิดบัง การบริจาคเงิน ทั้งที่กฎหมายได้วางแนวไว้ว่าห้าม นิติบุคคลใดที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับรัฐมนตรี อาจนำไปสู่การขัดกันแห่งผลประโยชน์ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสุจริตในการบริหารราชการ ผมจึงนำกรณีของพรรคอนาคตใหม่ มาเสนอต่อกกต. เพื่อให้กกต.ดำเนินการตรวจเทียบ กับการพิจารณากรณีของพรรคภูมิใจไทย เพื่อให้การดำเนินการของกกต.ไม่ขยายเกินไปกว่า คำวินิจฉัยของศาล จนทำให้เกิดความล่าช้า หรือต้องไปรอคำชี้แจงของหน่วยงานอื่นๆ เช่น การรับงานของหจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นเป็นการฮั้วประมูลหรือไม่ และมีการนำเงินที่เกิดจากการกระทำความผิดนั้นมาบริจาคให้พรรคการเมืองหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดความล่าช้าเพราะในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ระบุเอาไว้แล้วว่าแหล่งที่มาของเงิน ที่หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นนำมาบริจาค ให้กับพรรคภูมิใจไทยมิชอบด้วยกฎหมาย ก็เพียงพอที่ กกต.จะวินิจฉัยได้แล้ว