“พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา” เกาะกูดตัวแปรแบ่งเค้ก 10 ล้านล้าน

พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา เกาะกูดตัวแปรแบ่งเค้ก 10 ล้านล้าน

ย้อนรอย "พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา" จากอดีตทางบกสู่ปัจจุบันทางทะเล บทสรุปการเจรจา 5 รัฐบาล จับตาเดิมพันเกาะกูด? แบ่งขุมทรัพย์ 10 ล้านล้าน

TOP News เกาะติด “พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา” จับตาเดิมพันเกาะกูด? แบ่งขุมทรัพย์ 10 ล้านล้าน พาย้อนรอยข้อพิพาทจากอดีตพื้นที่ทับซ้อนทางบกสู่ปัจจุบันพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และสาเหตุสําคัญที่ทําให้เกิดเป็นประเด็นโต้แย้งของทั้งสองประเทศ

ข่าวที่น่าสนใจ

ย้อนรอย พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา จากอดีตทางบกสู่ปัจจุบันทางทะเล บทสรุปการเจรจา 5 รัฐบาล จับตาเดิมพันเกาะกูด? แบ่งขุมทรัพย์ 10 ล้านล้าน

ภาพ : thai.tourismthailand

“พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา” จากอดีตสู่ปัจจุบัน

ไทยกับกัมพูชามีพรมแดนติดต่อกันยาวประมาณ 798 กม. ตลอดแนวเขตแดนของทั้งสองประเทศมีอาณาบริเวณทาบเกี่ยวกันเป็นพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งกินพื้นที่ทั้งทางบกและทางทะเลของทั้งสองประเทศ ซึ่งสาเหตุสําคัญที่ทําให้เกิดเป็นประเด็นโต้แย้งของทั้งสองประเทศในการอ้างสิทธิเหนือดินแดนบริเวณที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว ได้แก่

  • การอ้างอิงแผนที่คนละฉบับ
  • การปักปันเขตแดนไทยยึดถือต้นไม้เป็นจุดอ้างอิง แต่ในปัจจุบันไม่สามารถตรวจพบตําแหน่งของต้นไม้ดังกล่าว ทําให้แนวเขตแดนคลาดเคลื่อน ไม่ได้รับการยอมรับ
  • หลักเขตแดนเดิมชํารุดสูญหายถูกเคลื่อนย้าย ไม่สามารถหาจุดปักปันเดิมได้
  • การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิศาสตร์ ทั้งจากการกระทําโดยธรรมชาติและจากการกระทําของมนุษย์
  • การรุกลํ้าดินแดนซึ่งกันและกันทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
  • สนธิสัญญาที่มีความไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะรายละเอียดในสนธิสัญญาว่าอย่างหนึ่ง แต่แผนที่ประกอบสนธิสัญญาเป็นอีกอย่าง เช่นกรณี เขาพระวิหาร

“พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา” ที่สำคัญ โดยจําแนกเป็นประเภทได้ ดังนี้

พื้นที่ทับซ้อนทางบก ได้แก่

ปราสาทพระวิหาร

  • อยู่ในเขต อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ศาลโลกพิพากษา เมื่อ 15 มิ.ย. 05 ให้ตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้นอยู่ในเขตอํานาจอธิปไตยของกัมพูชา และกําลังเป็นชนวนปัญหาสําคัญระหว่างไทยกับกัมพูชา เนื่องจากคําตัดสินมิได้รวมถึงพื้นที่บริเวณรอบปราสาทฯ จากแผนที่ที่ทั้งไทยและกัมพูชายึดถือนั้นมีพื้นที่ทับซ้อนกันด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศเหนือของปราสาทฯ เนื้อที่ประมาณ 4.6 ตร.กม. ซึ่งกัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อองค์กร UNESCO ซึ่งมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 2 – 10 ก.ค. 51 เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว โดยผนวกพื้นที่ทับซ้อนประมาณ 11 ตร.กม. รอบตัวปราสาทเป็นพื้นที่ใจกลาง (Core Zone) เมื่อ ม.ค. 49

พื้นที่ช่องตาพระยา/บึงตระกวน (หลักเขตแดนที่ 35)

  • กัมพูชาอ้างว่าเคยอยู่ในบริเวณบังเกอร์เก่าของกัมพูชาแต่ไม่มีหลักฐาน เนื่องจากหลักเขตดังกล่าวได้สูญหายไป ต่อมาเมื่อ 24 ธ.ค. 41 ไทยและกัมพูชาทําพิธีเปิดจุดผ่อนปรนตาพระยาบึงตระกวน เพื่อให้ประชาชนทั้งสองประเทศค้าขายกัน และสร้างอาคารที่ทําการสําหรับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง แต่กัมพูชาประท้วงโดยอ้างว่าเมื่อเล็งจากหลักเขตแดนที่ 34 ไปยังหลักเขตแดนที่ 35 และ 36 อาคารดังกล่าวสร้างลํ้าเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา จึงถูกระงับการก่อสร้างจนถึงปัจจุบัน

พื้นที่เขาตาง็อก อ.คลองหาด จ.สระแก้ว

  • จากการที่ไทยและกัมพูชาต่างยึดแผนที่คนละลําดับชุด ทําให้เกิดการทาบทับกันของแนวเขตแดน เมื่อตรวจสอบจากบันทึกการประชุมระหว่างคณะกรรมการฝรั่งเศส – สยามเพื่อการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับไทย ค.ศ. 1908 (พ.ศ. 2451) แล้วแนวเขตแดนดังกล่าวลากไปตามลํานํ้าคลองด่านจนถึงยอดโขดหินเขาตาง็อก ซึ่งบริเวณเชิงเขาเป็นต้นกําเนิดลํานํ้า แต่ปัจจุบันจุดต้นกําเนิดลํานํ้านั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามสภาพธรรมชาติและยังไม่สามารถตรวจสอบหาจุดที่แน่นอนได้จนกว่าจะมีการปักปันเขตแดนใหม่

พื้นที่เขาตะบานกะบาน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี

  • พื้นที่สามเหลี่ยมที่เกิดจากทางนํ้าไหลสองเส้นทาง ซึ่งปัจจุบันเป็นเขตปลอดทหารตามข้อตกลงร่วมกัน

พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ได้แก่

เกาะกูดตอนล่าง

  • การจัดทําหลักเขตแดนไทย – กัมพูชาทางบก ได้นํามาใช้กับการกําหนดเขตทางทะเลตามสนธิสัญญาฟรังโก-สยาม ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ที่ให้เกาะกูดอยู่ในเขตแดนไทย แต่กัมพูชาถือว่าเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา คือ เส้นแนวเล็งจากหลักเขตแดนที่ 73 ผ่านยอดสูงสุดของเกาะกูดตรงออกไปในทะเล ซึ่งกินพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area : JDA) ที่เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติขนาดใหญ่ และลํ้าเส้นเขตแดนของไทยเข้ามาด้วย จึงทําให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกัน

อ่าวไทยตอนกลางและตอนล่าง

  • ไทยและกัมพูชาเริ่มเจรจาแบ่งเขตไหล่ทวีป เมื่อ ธ.ค. 13 โดยที่ยังมิได้ข้อตกลงเป็นเอกฉันท์ ต่อมาในปี 15 กัมพูชาได้ประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย และในปี 16 ไทยได้ประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยด้วยเช่นกัน ทําให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนกัน มีเนื้อที่ประมาณกว่า 26,000 ตร.กม. ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถเจรจาปักปันเขตแดนได้

ย้อนรอย พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา จากอดีตทางบกสู่ปัจจุบันทางทะเล บทสรุปการเจรจา 5 รัฐบาล จับตาเดิมพันเกาะกูด? แบ่งขุมทรัพย์ 10 ล้านล้าน

จุดเริ่มต้นข้อพิพาท “พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา”

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2513 กัมพูชาได้ประกาศอ้างเขตพื้นที่ไหล่ทวีปไทยเป็นครั้งแรก และอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี 2515 แต่เส้นเขตที่กัมพูชาประกาศนั้นถูกโต้แย้งว่าไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาเจนีวา 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล 1982 ไทยจึงไม่ยอมรับ พร้อมประกาศเขตพื้นที่ไหล่ทวีปไทยของตัวเองในปี 2516

ทั้งกัมพูชาและไทยต่างใช้หลักเขตแดนที่ 73 เป็นจุดตั้งต้นเช่นเดียวกัน แต่ลากเส้นไปคนละทิศ ของไทยนั้นแม้จะเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ก็ทำให้ไทยและกัมพูชาเกิดการอ้างสิทธิพื้นที่ทับซ้อนกันมากถึง 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งไม่เพียงแค่เกิดปัญหาว่า เกาะกูด อยู่ในเขตแดนของใคร แต่ยังเกิดปัญหาการอ้างสิทธิทับซ้อนกับมาเลเซียและเวียดนามด้วย

โดยไทยและกัมพูชาต่างฝ่ายต่างไปเดินหน้าเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนกับทางเวียดนามและมาเลเซีย จนในที่สุดก็สามารถหาข้อยุติได้ ส่งผลให้พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่ยังค้างคาอยู่เหลือเพียงไทยและกัมพูชา

ไร้บทสรุปการเจรจา

  • พ.ศ. 2544 ยุครัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งสองประเทศได้ลงนามใน “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “MOU 2544” รายละเอียดหลัก ๆ ระบุว่า “ไทยและกัมพูชาจะเจรจาแก้ไขปัญหาการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน 2 เรื่อง”
  1. การเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงสำหรับการพัฒนาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมซึ่งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน
  2. การเจรจาเพื่อจัดทำข้อตกลงแบ่งเขตแดนสำหรับทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะในพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขต โดยให้ถือเอาเส้นละติจูด 11 องศาเหนือเป็นเส้นแบ่ง
  • สมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประเด็นร้อนเรื่องเขตแดนเขาพระวิหารได้กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ยิ่งเมื่อ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ขณะนั้น แต่งตั้ง ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไทย – กัมพูชา จึงมาถึงทางตัน รัฐบาลไทยตอบโต้กัมพูชาด้วยการประกาศบอกเลิก “MOU 2544” แต่เนื่องจากเป็นการบอกเลิกแบบไม่เป็นทางการ การบอกเลิกจึงไม่มีผลอะไร
  • สมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามสานต่อความตั้งใจเดิมด้วยการยืนยันว่าจะดำเนินการตาม “MOU 2544” ต่อไป แต่ยังไม่ทันที่เรื่องจะคืบหน้าไปไหน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจเสียก่อน
  • ช่วงปลายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการนำประเด็นนี้มาปัดฝุ่นอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากเป็นการประชุมลับ ข้อมูลที่ทางรัฐบาลเปิดเผยต่อสื่อมีเพียงว่า กัมพูชาส่งสัญญาณพร้อมรื้อฟื้นการเจรจาพื้นที่ไหล่ทวีปที่ทับซ้อนกัน โดยจะไม่แตะเรื่องการแบ่งเขตพื้นที่ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ จะเน้นแค่การเจรจาเพื่อนำทรัพยากรในทะเลมาแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน แต่สุดท้ายเรื่องก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรไปมากกว่านั้น
  • ล่าสุด ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินทางมาเยือนไทยของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะมีการหยิบยกเรื่องการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย – กัมพูชา มาเป็นหัวข้อหนึ่งในการหารือกันด้วย

เกาะกูดของใคร?

กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปของตนเอง โดยอาศัยหลักเขตแดนทางบกหลักที่ 73 เป็นจุดตั้งต้น จากนั้นลากเส้นตรงไปทางตะวันตกค่อนลงไปทางใต้เล็กน้อยผ่าน เกาะกูด ถึงประมาณกลางอ่าวไทย แล้วหักลงใต้เกือบสุดอ่าวไทย แล้วหักขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือโอบล้อมเกาะภูกว๊อก แล้วไปบรรจบเส้นเขตแดนกัมพูชา – เวียดนาม

ประเด็นเรื่อง เกาะกูด จึงยังมีความคลุมเครืออยู่ ในเอกสารการประกาศไหล่ทวีป ปรากฏว่า มีการลากเส้นผ่านกลาง เกาะกูด เป็นการแสดงเจตนาอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือบางส่วนของเกาะกูด เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชาเคยอ้างระหว่างการเจรจากับฝ่ายไทยเนือง ๆ ว่า เกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง แต่หากพิจารณาลงไปในรายละเอียดตามแผนที่แนบท้ายแล้วจะพบว่า เส้นที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตไหล่ทวีปนั้น ได้เว้นเกาะกูดเอาไว้ และในแผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจปี 2544 ได้มีการเว้นเส้นที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตแดนทางทะเลในลักษณะที่เป็นตัว U เว้าอ้อมเกาะกูด ทำให้ฝ่ายไทยตีความว่า กัมพูชาไม่ได้อ้างอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูด

ข้อโต้แย้งอีกประการหนึ่งของฝ่ายไทยคือ เกาะกูดนี้ถูกระบุเอาไว้ใน สนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศส ปี 1907 ชัดเจนแล้วว่า อยู่ในเขตไทย เนื่องจากถ้อยคำในสนธิสัญญาดังกล่าว ซึ่งฝ่ายกัมพูชาใช้อ้างอิงในการกำหนดเขตทางทะเล ระบุว่า “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลที่ตรงข้ามยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวานแล”

อย่างไรก็ตาม เจตนารมณ์ของสนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศส ปี 1907 นั้น ให้ใช้เกาะกูดเป็นจุดเล็งเพื่อกำหนดเส้นเขตแดนทางบก ไม่ใช่สนธิสัญญาที่กำหนดเขตแดนทางทะเลแต่อย่างใด ฝ่ายไทยใช้ประโยชน์จากข้อความนี้เพื่ออ้างอิงอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูด ไม่ใช่การกำหนดเขตไหล่ทวีป

ประเทศไทยประกาศเขตไหล่ทวีปของตัวเอง หลังกัมพูชาเกือบ 1 ปี โดยอาศัยหลักเขตทางบกหลักที่ 73 เป็นจุดตั้งต้นเช่นกัน โดยลากเส้นจากจุดที่ 1 ที่ ละติจูด 11 องศา 39 ลิปดา เหนือ และ ลองติจูด ที่ 102 องศา 55 ลิปดาตะวันออก ไปยังจุดที่สอง ละติจูด 9 องศา 48.5 ลิปดา เหนือ และ ลองติจูด ที่ 101 องศา 46.5 ลิปดาตะวันออก ถ้าพิจารณาตามภูมิประเทศแล้วจะพบว่า เส้นของไทยเริ่มจากบริเวณระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ลากเป็นเส้นตรงไปทางตะวันตกเฉียงใต้แล้วหักลงใต้ค่อนไปทางตะวันออกเล็กน้อยตามแนวเส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชากับเวียดนามแล้วเฉียงใต้ไปบรรจบเส้นเขตแดนไทย – มาเลเซีย

ย้อนรอย พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา จากอดีตทางบกสู่ปัจจุบันทางทะเล บทสรุปการเจรจา 5 รัฐบาล จับตาเดิมพันเกาะกูด? แบ่งขุมทรัพย์ 10 ล้านล้าน

พื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชาเดิมพันเกาะกูด?

ล่าสุด วันนี้ (27 ก.พ.) ที่ ทำเนียบรัฐบาล นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเจรจาแบ่งผลประโยชน์พื้นทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจบอย่างไร กระทรวงกลาโหมก็รักษาแนวเขตนั้นให้ โดยกระทรวงกลาโหมไม่ใช่ฝ่ายไปเจรจา

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมก็อยู่ในคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ด้วย นายสุทิน กล่าวว่า ในส่วนนั้นจะมีบางเรื่องที่เราคิดว่ามีเรื่องความมั่นคงเข้าไปด้วย อาจต้องรวมความคิดเห็นของกระทรวงกลาโหมด้วย ส่วนเรื่องเกาะกูดยังไม่มี

เมื่อถามว่า มั่นใจใช่หรือไม่ว่ากัมพูชาจะยกเกาะกูดให้ไทย และจะไม่นำเป็นประเด็นเข้ามาในการเจรจา นายสุทิน กล่าวว่า ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีวาระซ้อนเร้น และน่าจะออกมาดี ทุกคนทำด้วยสุจริตใจ เพราะสังคมดูอยู่แล้ว

เมื่อถามย้ำว่า จะต้องคุยกับกัมพูชาอีกรอบหรือไม่ ว่าเขาจะไม่เอาพื้นที่เกาะกูดไปเป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชา นายสุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามทางกระทรวงการต่างประเทศ

แบ่งผลประโยชน์?

  • อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่าพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชานั้น อาจมีก๊าซธรรมชาติมากถึง 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต คิดเป็นมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท และน้ำมันอีก 500 ล้านบาร์เรล คิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท บางแหล่งข้อมูลก็ประเมินว่า ทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่นี้ น่าจะมีมูลค่ามากถึง 10 ล้านล้านบาท เลยทีเดียว ซึ่งหากเจรจาสำเร็จ ไทยจะสามารถจัดหาแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูก หรือสามารถนำมาช่วยทดแทนปริมาณก๊าซในอ่าวไทยได้ในอนาคตอีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"กัน จอมพลัง" พา "คุณป้า" คู่กรณีพีช นั่งรถวีลแชร์ ร้องยธ. คุ้มครองพยาน-ยื่นรับเงินเยียวยาจากรัฐ พร้อมอัปเดตอาการคุณลุง
"สมยศ"รอด! ศาลอาญาฯ สั่งจำคุก "เนตร" 3 ปี "ชัยณรงค์ " 2 ปี ร่วมช่วยเหลือคดี "บอส อยู่วิทยา"
คุมตัว "3 คนไทย" ในฐานะผู้ถือหุ้น "บริษัทไชน่า เรลเวย์" ฝากขังศาล ยังให้การปฏิเสธ
น้อมนำแนวพระราชดำริ 'สร้างความมั่นคงทางอาหาร' 37 ปี โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน
"นฤมล" ยันไม่มีสัญญาณปรับครม. พรรคกล้าธรรมไม่คิดย้ายกระทรวง
"ทวี" แจงเพจ "ประชาชาติ" โพสต์ค้านร่างกม.เอนเตอร์เทนเมนต์ฯ" ชี้เป็นความเห็นส่วนตัวสส. ยังไม่ใช่จุดยืนพรรค
“ภูมิธรรม” ย้ำยังไม่ได้รับสัญญาณปรับครม.จากนายกฯ ลั่นความสัมพันธ์ยังเหมือนเดิมกับภูมิใจไทย
"ราคาทองคำ" เช้านี้พุ่งแรง 1,550 บาท ทำนิวไฮ ดัน “รูปพรรณ” ขายออก 55,550
"ภูมิธรรม" เรียกถก "รอง ปลัดมท.-แม่ทัพภาค 4-ผบช.ภ.9" ปรับแผนแก้ไฟใต้ หลังคนร้ายลอบยิงสามเณรเสียชีวิต
“วรพล-วิชิตา”ซิวแชมป์คลาสเอ สวิงเยาวชนภาคเหนือที่ รอยัลเชียงใหม่

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น