นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาฯ ส.ป.ก. กล่าวว่า เมื่อที่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาตนได้มีหนังสือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ แต่งตั้งคณะทำงานประกอบด้วย 9 หน่วยงาน ว่ามีการทับซ้อนหรือรุกล้ำหน่วยงานใดหรือไม่ เพื่อเข้ามาเป็นคณะทำงานช่วยดูว่า การออกเอกสารสิทธิ์ของส.ป.ก.ทับซ้อนหรือไม่ หรือรุกล้ำหน่วยงานใดหรือไม่ เพื่อให้ยืนยันว่า ส.ป.ก.ออกเอกสารสิทธิ์ถูกที่ ถูกทาง ไม่ไปล้ำที่ป่าไม้ หรือสถานที่สำคัญของหลวง ยืนยันว่า จากนี้พื้นที่ตรงไหน ที่มีปัญหาทับซ้อนกันเราจะไม่ทะเลาะกัน จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการ One Map พร้อมกับยังระบุอีกว่า หากพื้นที่ใดเข้าใกล้พื้นที่กันชนหรือพื้นที่เตรียมการสำหรับการอนุรักษ์ อยากให้ ผ่านกรมอุทยานแจ้งมายังส.ป.ก. เพราะก่อนหน้านี้ต่างคนต่างทำงาน และต่อจากนี้จะทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น
“อดีตที่ผ่านมาก็ชั่งหัวมัน เพราะสุดท้ายต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ เพราะสุดท้ายพี่(ชัยวัฒน์)ก็ต้องทำงานให้ชาวบ้าน ผมก็ต้องทำงานให้ชาวบ้าน เพียงแต่ว่า เจตนารมณ์ของแต่ละหน่วยงาน มีมิติการทำงานไม่ตรงกัน พี่ชัยวัฒน์มีหน้าที่อนุรักษ์ ส่วนผมก็มีหน้าที่หาที่ดินให้คน ผมก็ต้องทำตามหน้าที่ ซึ่งวันนี้ก็ต้องมาคุยกัน แต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการ ให้ทำหนังสือ จะได้ดูแลการทำงาน ไม่ต้องเกิด Config กันในอนาคต ทุกคนยอมรับด้วยกัน ส.ป.ก.ออกพื้นที่ตรงนี้ได้นะหากไม่ได้ก็แย้งมา ก็จะหยุดเพื่อมาดูในรายละเอียด”เลขาฯสปก.กล่าว
เลขาฯส.ป.ก. กล่าวว่าไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.ที่ได้ออกไปแล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการคุยกันของรัฐ และหากที่สุดแล้วมีมติออกมาเป็นอย่างไร ประชาชนที่ได้รับผลกระทบรัฐจะเยียวหาให้แน่นอน ซึ่งพื้นที่ที่มีปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นแนวตะแข็บรอยต่อ คณะกรรมการวันแมปจะรับผิดชอบดูแล แต่ตอนนี้อะไรที่ยังไม่ชัดเจนขอให้ใช้ชีวิตตามปกติสุขไป
สำหรับเรื่องคดีความที่ 2 หน่วยงานแจ้งความดำเนินคดีไว้นั้น ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า ทั้งสองหน่วยงานตกลงกันว่าจะให้ดำเนินการตรวจสอบแนวเขตให้เสร็จสิ้นภายใน 2 เดือน ส่วนคดีความตนจะรับผิดชอบเอง ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาขอให้ทุกอย่างดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ให้รอข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และหลักวิทยาศาสตร์ หลังจากวันแมปชี้ขาดเส้นแนวเขตแล้ว เรื่องคดีค่อยมาพูดคุยกัน
ส่วนแนวเส้นระหว่างอุทยานฯ และ ส.ป.ก. ในพื้นที่ทับซ้อน ที่ทั้ง 2 หน่วยงาน จะเข้าไปตรวจสอบนั้นจะใช้วิธีการตรวจสอบจาก Field book ของทั้ง2 หน่วยงานมาเปรียบเทียบกัน หากมีพื้นที่ทับซ้อนก็จะต้องพูดคุยตกลงว่าจะยกพื้นที่นั้นให้ใครดูแล หากตกลงกันได้ก็จะดำเนินการต่อทันที แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะส่งให้คณะกรรมการวันแมปเป็นผู้ชี้ขาด
ด้านว่าที่ ร.ต.พีรพล มั่นจิตต์ ตัวแทน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ระบุว่า สคทช. ให้ความสำคัญกับเรื่องการแบ่งเส้นที่ดินของรัฐให้ชัดเจน แต่หากหน่วยงานผู้ปฏิบัติดำเนินการแล้วมีความขัดแย้งกัน สคทช.ก็มีอนุกรรมการตามกฎหมายช่วยเหลือเพื่อเสนอเข้าสู่ ครม. เป็นกฎหมายออกมา ส่วนการพิสูจน์เขตแดนก็จะส่งตัวแทนเข้าไปร่วมด้วย ส่วนความคืบหน้าการทำวันแมปใน 77 จังหวัดทั่วประเทศมีการแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ทำเสร็จเรียบร้อยเสนอเข้า ครม.ไปแล้ว 3 กลุ่ม และกลุ่มที่ 4 กำลังจะเข้า ส่วนกลุ่มที่ 5-7 อยู่ในปีงบประมาณ 68
ส่วนกรณีที่นายชัยวัฒน์เคยประกาศว่า ไม่ยอมรับแผนที่ของวันแมปนั้น นายชัยวัฒน์ ชี้แจงว่า สิ่งที่ตนพูดไปคือไม่ยอมรับการที่กรมแผนที่ทหารนำแผนที่ที่ตัวเองรางวัดใหม่ไปส่งให้กับคณะกรรมการวันแมปแล้วคณะกรรมการวันแมปยอมรับแผนที่ดังกล่าว แต่หลังจากนี้ เมื่อมีการหารือกันระหว่าง 2 หน่วยงานให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการวันแมปเป็นผู้ขีดเส้น หากอยู่ในพื้นที่ของใครก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับอีกฝ่าย ดังนั้นผลการพูดคุยวันนี้เป็นที่น่าพอใจ เพราะตนต้องการแค่ความถูกต้อง และสิ่งที่ภูมิใจมากคือการหยิบยกพื้นที่คอร์ริดอร์ หรือ พื้นที่ปลอดภัยของสัตว์สำหรับหลบภัยตามแนวตะแข็บ หากสามารถทำได้จริงจะมีพื้นที่ป่า อีกส่วนหนึ่งที่จะคืนให้ประเทศ
ขณะที่ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ที่ส.ป.ก.ไปแจ้งความเอาผิด นายชัยวัฒน์ ตามพ.ร.บ.ปราบปรามการทุจริตฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้เวลาแสวงหาข้อเท็จจจริง 30 วัน ก่อนส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. เพื่อเอาผิดตามประมวณกฎหมายอาญา มาตรา 159 เนื่องจากนายชัยวัฒน์เข้าไปดำเนินการถอนหมุด ส.ป.ก. โดยที่เข้าใจว่าเป็นพื้นที่อุทยาน แต่ส.ป.ก.ไปแจ้งความเอาผิดเพราะ ส.ป.ก.บอกเป็นพื้นที่ของ ส.ป.ก. ดังนั้นนายชัยวัฒน์จะเจตนาหรือไม่อยู่ที่ความตั้งใจ ซึ่ง ป.ป.ช.จะตรวจสอบต่อไป แต่ในระหว่าง 2 หน่วยงานได้ปรับความเข้าใจจนได้ข้อยุติแล้ว
ขณะเดียวกัน ชัยวัฒน์ ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เรื่องแจ้งความเป็นกฏหมายอาญาต้องมีการพิสูจน์ และคาดการณ์ว่า เขาก็ต้องแจ้งความเรา เนื่องจากตนไปถอนหมุดเขามา หากเขาไม่แจ้งก็แสดงว่าหลักนั้นเป็นหลักเถื่อน เป็นหลักเท็จ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายยื่นหลักฐานมาตัดสินกันไม่ได้ก็ต้องให้คณะกรรมการเป็นคนตัดสินตามหลักฐานที่มี หากตัดสินว่าเป็นพื้นที่ในเขตส.ป.ก. ตนรับเต็มทั้งเรื่องแจ้งความเท็จ หรือเรื่องอื่นๆ แต่หากอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตนก็จะฟ้องกลับเช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครที่สั่งการ
นายชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า วันนี้จะจบแบบหล่อๆ ไม่ได้ เพราะเหตุที่เกิดขึ้นเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราก็พยายามที่จะสื่อสารมาโดยตลอดแต่ไม่เป็นผล วันนี้ได้ข้อยุติระดับหนึ่ง ซึ่งรออีก 2 เดือนว่าพื้นที่ตรงนี้จะเป็นของใคร ยืนยันว่าหลักฐานเรามีเพียงพอที่จะยืนยันว่าเป็นพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
“ที่บอกว่าจะจบแบบหล่อๆ ไม่ได้ คือจะจบแบบไม่มีใครผิดไม่ได้ งานนี้ต้องมีคนผิดเมื่อเขาไม่ผิด ผมก็ต้องผิด เพราะเราทิ้งตัวแล้ว ไม่ใช่ว่าผมจะเกษียณแล้วทิ้งตัว แต่ผมสู้มาตลอดชีวิต การจะจบโดยไม่มีใครผิดไม่ได้ ใครที่ทำหลักฐานเท็จ ใครออกโฉนดโดยมิชอบต้องมีคนผิดหากเขาไม่ผิด ผมก็ต้องผิด ซึ่งต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเองอยู่แล้ว” นายชัยวัฒน์กล่าว