นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) และประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) พร้อมคณะอำนวยการ “โครงการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสิทธิและสุขภาพในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน” ประกอบด้วยภาคีเครือข่ายแรงงานนอกระบบโดยได้รับการหนุนเสริมการขับเคลื่อนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้มีโอกาสเข้าพบ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อรายงานความก้าวหน้าโครงการฯและเรียนเชิญนายพิพัฒน์ มาเป็นประธานเปิดเวทีประชาพิจารณ์ ร่าง พ.ร.บ.แรงงานอิสระ พ.ศ… ที่จะจัดขึ้นภายในเดือนเมษายนนี้
นายกิตติ สุนทรรัตน์ ผู้ประสานงาน สสส. กล่าวชี้แจง ร่างพ.ร.บ.แรงงานอิสระ ในอนาคตจะใช้เป็นกฎหมายดูแลสิทธิทางกฎหมายและสุขภาพผู้ใช้แรงงานนอกระบบที่มีอยู่ราว 20 ล้านคนจะได้ประโยชน์ ซึ่งในเวทีประชาพิจารณ์ดังกล่าวจะเป็นการระดมความคิดเห็นจากนักกฎหมาย นักวิชาการ ผู้นำแรงงาน กลุ่มแรงงานนอกระบบจากกลุ่มอาชีพต่าง ๆ อาทิ หาบเร่แผงลอย ไรเดอร์ เป็นต้น ที่จะมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนและเสนอแนะเกี่ยวกับกฎหมายลูกให้ได้ข้อสรุปจากทุกฝ่าย เพื่อนำเสนอต่อกระทรวงแรงงานผลักดันร่างกฎหมายฉบับสมบูรณ์เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาก่อนดำเนินการตามกระบวนการและบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมา สสส. มีงานวิจัยและมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ควรให้กระทรวงแรงงานโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพ อาสาสมัครข้ามชาติในโรงงาน (อสต.)ที่เป็นแรงงานข้ามชาติมาดูแลแรงงานข้ามชาติด้วยกันเอง ได้เข้ามาเป็นกลไกในการทำงานให้แรงงานต่างชาติได้เข้าถึงการดูแลคุ้มครองทางกฎหมายและระบบสุขภาพ ที่มีอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ทำงานในโรงงาน ควรส่งเสริมให้มี อสต.สัดส่วน แรงงานข้ามชาติ 444 คนต่อ อสต. 1 คน และ กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ทำงานรับจ้างทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานในโรงงานแต่มีนายจ้างชัดเจน เป้าหมายของการมี อสต.เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เป็นไปตามหลักสากล แนวทางดังกล่าวถือว่าเป็นการสร้างแรงบวกให้กับรัฐบาลเนื่องจากที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้แก้ปัญหาการค้ามนุษย์และคุ้มครองแรงงานต่างด้าว โดยจะมีในข้อเสนอแนะต่อกระทรวงแรงงานภายหลังจัดทำเวทีประชาพิจารณ์แล้วเสร็จ
นายมนัส กล่าวว่าที่สำคัญร่างกฎหมายแรงงานอิสระยังครอบคลุมการดูแล “พนักงานจ้างเหมาบริการภาครัฐ” ที่มีอยู่ราว 5 แสนคน รวมถึง “แรงงานข้ามชาติ” ที่มีอยู่ในระบบ 1.6 ล้านคนและยังอยู่นอกระบบอีกราว 2 ล้านคน รวม ๆ อาจมีสูงถึง 4 – 5 ล้านคน ที่จะได้อานิสงส์จากกฎหมายฉบับนี้ พร้อมรับโจทย์และข้อห่วงใยจากนายพิพัฒน์ให้ไปศึกษาเชิงลึกการดูแลสิทธิแรงงานนอกระบบโดยเฉพาะ “ไรเดอร์” ที่ยังมีข้อถกเถียงเรื่องนิยาม ว่าเป็นแรงงาน กึ่ง หรือ อิสระ มีสถานะทางกฎหมายเข้าเกณฑ์แรงงานสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างหรือไม่ หรือแม้แต่เรื่อง “อัตราค่ารอบ” ชนวนปัญหาความขัดแย้งระหว่างไรเดอร์กับเจ้าของแพลตฟอร์มเนื่องจากธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันสูง และ “แรงงานข้ามชาติ” ที่ทำงานกระจัดกระจายอยู่ตามชุมชนให้ได้รับการดูแลจาก อสต.และได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายใหม่
