“รัฐบาล” รับคำท้า “ก้าวไกล” พร้อมแลกหมัดบนสังเวียนซักฟอกงัดผลงานฟาดกลับ

"บิ๊กรัฐบาล"รับคำท้าพร้อมแลกหมัดต่อหมัดบนสังเวียนซักฟอก จ่องัดผลงานโบว์แดงฟาดกลับ ดักคอ "ก้าวไกล" อย่าใช้วาทกรรมโจมตีก็แล้วกัน

ภายหลัง “พรรคก้าวไกล” กลับลำอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 พร้อมกับเปิดประเด็นจะชำแหละผลงานรัฐบาล 6 เดือน ทำให้บรรดาบิ๊กรัฐบาล ต่างพาเหรดกันออกมารับคำท้า อาทิ นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า เห็นข่าวฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตามวิถีทางประชาธิปไตย รัฐบาลก็เตรียมพร้อมเพื่อตอบในสภา ดีครับ จะบอก ประชาชนว่ารัฐบาล ทำอะไรไปบ้าง นี่ความงดงามของประชาธิปไตย ใช้สภาเป็นประโยชน์

ขณะที่ “นายธนกร วังบุญคงชนะ” สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านมีมติยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เพื่อซักถามการทำงานของรัฐบาล ว่ามั่นใจรัฐบาลพร้อมชี้แจงและตอบทุกคำถามของฝ่ายค้าน และถือเป็นโอกาสที่จะอธิบายการทำงานของรัฐบาลให้กับประชาชนได้เข้าใจเมื่อถามว่า 6 เดือนของการทำงานรัฐบาล มองว่าเร็วไปหรือไม่ ที่ถูกอภิปราย นายธนกรกล่าวว่า

ถือเป็นการใช้เวทีสภาซักถามการทำงานตามขั้นตอนถือเป็นความชอบธรรมตามกลไกรัฐสภา แม้ว่ารัฐบาลจะเพิ่งเริ่มเดินหน้าทำงานเข้าสู่เดือนที่ 6 ที่สำคัญร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ยังไม่ผ่านวาระ 2-3 ยังไม่ได้ใช้งบฯและยังไม่มีข้อมูลการทุจริตเรื่องการใช้งบประมาณของรัฐบาลออกมา อย่างไรก็ดีฝ่ายค้านสามารถยื่นอภิปรายรัฐบาลได้ทุกเมื่อ หากเห็นว่ามีความบกพร่อง แต่ตนมองว่าร่างพ.ร.บ.งบยังไม่ผ่านสภา รัฐบาลจึงยังไม่ได้ใช้งบประมาณ จึงคิดว่าฝ่ายค้านคงยังไม่มีข้อมูลหลักฐานเรื่องการทุจริต จึงขอให้ใช้เวทีสภาในการอภิปรายทั่วไปในครั้งนี้อย่างสร้างสรรค์ หวังว่าจะไม่ใช้โอกาสนี้ สร้างวาทกรรมเพื่อโจมตีทางการเมืองเช่นเดิม

ยิ่งโฆษกรัฐบาล วัดผลงานชิ้นโบว์แดงออกมาเกทับ พรรคก้าวไกล ในทันที นั้นคือ “นายชัย วัชรงค์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทวิตข้อคตวามผ่านทวิตเตอร์ว่า อีกหนึ่งผลงานเนื้อๆเน้นๆก็คือ ราคายางพารา โดยอ้างอิงที่ราคายางแผ่นดิบที่ซื้อขายกัน ณ ตลาดท้องถิ่น ราคาเฉลี่ยปี 2565 : กิโลกรัมละ 56.45 บาทราคาเฉลี่ยปี 2566 : กิโลกรัมละ 43.2 บาทราคาวันที่ 6 มีนาคม 2567 : กิโลกรัมละ 74.0 บาท ราคาน้ำยางดิบ กิโลกรัมละ 72.8 บาท ซึ่งน่าจะเป็นราคาที่สูงที่สุดในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมาโดยราคายางพาราเริ่มปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

นายชัย ระบุอีกว่า หากราคาทรงตัวอยู่ในระดับนี้ไปตลอดปี 2567 พี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางจะสามารถขายยางได้ราคาดีขึ้นกว่าปี 2566 ถึงกิโลกรัมละ 30.8 บาท เมื่อคูณกับปริมาณผลผลิตยางทั้งประเทศประมาณ 5 ล้านตันต่อปี นั่นหมายถึงว่า ราคายางพาราที่สูงขึ้นนี้ จะทำรายได้ให้พี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศได้เพิ่มขึ้นถึง 154,000 ล้านบาทต่อปี หรือถ้าคิดเป็นวันต่อวันก็จะสามารถทำรายได้ให้ชาวสวนยางเพิ่มขึ้นถึงวันละ 420 ล้านบาท และด้วยการที่ผลผลิตยางพารากว่า 85% ถูกส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ นั่นย่อมหมายถึงการนำเม็ดเงินรายได้ใหม่เข้าประเทศถึงวันละ 357 ล้านบาทหรือปีละ 131,000 ล้านบาท เห็นหน้าเห็นหลังกันเลยไหมครับ พร้อมติดแฮชแทก #นี่ไงผลงานรัฐบาล

เช่นเดียวกับโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ไม่พลาดงัดผลงานนายกรัฐมนตรีออกมาโชว์เช่นกัน นั้นคือ “น.ส.ชญาภา สินธุไพร” สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลว่าไม่เป็นรูปธรรม ว่า เป็นเรื่องปกติในสังคมที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย แต่ความเป็นจริง ภาพที่พี่น้องประชาชนเห็นตรงกัน คือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามาบริหารประเทศเข้าสู่เดือนที่ 6 ถือเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่มีผลงานที่ทยอยผลิดอกออกผลเป็นรูปธรรมไม่น้อย เช่น นโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่รัฐบาลเดินหน้าทำทันที ภายใน 3 เดือนแรกหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ช่วยอำนวยความสะดวก ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ลดการกระจุกตัวของผู้ป่วยในโรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งคิกออฟใน 4 จังหวัดนำร่องไปแล้ว และต่อยอดความสำเร็จเฟสสองในเดือนมีนาคมนี้ในอีก 8 จังหวัด

รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปี ทั้งอ้อย ราคาปรับขึ้นมาเป็นตันละ 1,700-1,850 บาท จากเดิมตันละ 850-950 บาท ยางพารากิโลกรัมละ 75 บาท จากเดิม 3 กิโลกรัม 100 บาท รวมถึงมันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าว ราคาก็พุ่งสูงมากในขณะที่การเดินทางไปราชการต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีนับตั้งแต่รับตำแหน่ง รวม 16 ประเทศ ได้พบปะหารือผู้นำนานาประเทศและภาคเอกชนจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายที่จะประกาศว่าประเทศไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนเต็มที่ จนในที่สุดงานที่นายกรัฐมนตรีมุ่งมั่นตั้งใจทำตั้งแต่วันแรกก็ทยอยสร้างผลลัพธ์ เฉพาะช่วงต้นปีนี้มีตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ 4 โครงการในประเทศไทย มูลค่ารวม 29,702 ล้านบาท รวมทั้งล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าเทสล่าได้เข้ามาสำรวจพื้นที่ตั้งโรงงานในไทยแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่นายกรัฐมนตรี ได้พบหารือกับผู้บริหารเทสล่าในห้วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 30 ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ย. 2566

“นายกฯ เศรษฐา บริหารประเทศเพียง 6 เดือน แต่สามารถสร้างความเชื่อมั่น และเชิญชวนบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติมาลงทุนได้ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ ให้พี่น้องประชาชน และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ โดยที่ยังไม่ต้องใช้งบก้อนใหญ่จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ด้วยซ้ำ” น.ส.ชญาภา กล่าว

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สพฐ. จับมือผู้บริหารเขตพื้นที่ชายแดนใต้ ขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุก ร่วมใจสร้างคุณภาพทุกห้องเรียน
"สรวงศ์" ลุยแก้ปัญหา "เกาะกูด" ดึงนทท.ต่างชาติ ระดับไฮเอนด์ กระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่
ส่องเงินรางวัล "โอปอล สุชาตา" หลังคว้ารองอันดับ 3 เวที Miss Universe 2024
เปิดจำนวนเงินรางวัล "Miss Universe 2024" หลังสาวงามเดนมาร์ก คว้ามงกุฎไปครอง
“บิ๊กโจ๊ก-เสรีพิศุทธ์” ให้การป.ป.ช. ลือสนั่น คดีช้้น 14 มีมูล จ่อเอาผิดกราวรูด
"กิตติรัตน์" เคลื่อนไหวแล้ว โพสต์ทุกเสียงค้านคือเครื่องเตือนใจ ให้ปฏิบัติดี
“รับน้องขึ้นดอย” นศ.โชว์สปิริตฝ่า “โค้งขุนกัณฑ์” พร้อมเพรียงสุดขนลุก!
เล่นผิดคนแล้ว “กัน จอมพลัง” ดับซ่าส์ “โล้นปีนเสา” แจ้งความจับคาผ้าเหลือง
"พิชัย" นำทีมเจรจา Google ขยายลงทุน คุย Walmart เปิดโอกาสสินค้าไทยวางขายเพิ่ม
สุดห่วง "สามี" วอนช่วยตามหา "ภรรยา" หายตัวปริศนา หลังเครียดสูญเงินลงทุน “ดิไอคอน” นับแสนบาท

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น