“พิชัย” ร่วมเปิดตัว “สมาคมสื่อไทย-จีน” โชว์วิชั่นนำปท.สู่การค้าโลก

"พิชัย" ร่วมเปิดตัว "สมาคมสื่อไทย-จีน" โชว์วิชั่นนำปท.สู่การค้าโลก

พิชัย” ร่วมเปิดตัว “สมาคมสื่อไทย-จีน” โชว์วิชั่นนำประเทศสู่การค้าโลก

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา “สมาคมสื่อมวลชนไทย-จีน” นำโดย นายชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ นายกสมาคมสื่อมวลชนไทย-จีน ได้จัดงานเปิดตัวสมาคมสื่อมวลชนไทย- จีน ณ ห้องพาโนรามา โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ พร้อมเชิญ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ อดีตรมว.พลังงาน เป็นประธานเปิดงาน และกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยในมิติความร่วมมือกับจีน ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ระเบียบโลกใหม่และภูมิรัฐศาสตร์: ผลต่อเศรษฐกิจและการเมืองไทยจีน

ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ ระบุว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีน​ มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี​ และ ความสัมพันธ์ทางการทูตยุคใหม่ครบ 50 ​ปี ในปี 2568 นั้นจะมีเรื่องราวมากมายให้สื่อไทย-จีน​ ได้ติดตามนำเสนอเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนสองฝ่าย​ โดยสมาคมสื่อมวลชนไทย-จีน​ จะทำหน้าที่เชื่อมโยงสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วยกิจกรรมต่างๆ​ รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการค้าการลงทุนในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชนด้วย

“การจัดตั้งสมาคมสื่อมวลชนไทย-จีน เพื่อส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสื่อไทย-จีน และ ส่งเสริมสร้างการรับรู้ที่ดีของทั้งสองฝ่ายในการนำเสนอข่าวที่ถูกต้อง ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ช่วยเหลือส่งเสริมในการทำข่าวที่ถูกต้อง แม่นยำเพื่อความเข้าใจอันดีของประชาชนทั้งสองฝ่ายตามเจตนารมณ์ของสมาคมฯ”

"พิชัย" ร่วมเปิดตัว "สมาคมสื่อไทย-จีน"

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ทางด้าน นายพิชัย เริ่มต้นกล่าวสรุปปัญหาของไทยก่อนเข้าสู่โหมดความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับจีน ว่า ประกอบด้วย 10 เรื่องสำคัญ อาทิ 1.เรื่องของ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ที่จะเข้ามามีผลต่อการดำเนินชีวิตในอนาคต และ ถือเป็นปัญหาค่อนข้างรุนแรงกับทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน 2. เรื่องสภาพอากาศที่มีความเปลี่่ยนแปลงอย่างรุนแรง จากอุณหภูมิร้อนในประเทศที่เคยอยู่ในระดับ 38-39 องศา ปัจจุบันขึ้นสูงไปถึง 45 องศา 3.การแบ่งขั้วฝ่ายทางสังคมในประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นปัญหาเกิดขึ้่นแล้วในอดีต และเมื่อเกิดขึ้นอีกครั้ง ต้องร่วมกันแก้ไขเพื่อไม่ให้กระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

4.ความปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือ Server Security ซึ่งมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น 5.ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่เกิดขึ้นในหลายจุดของโลก ทั้งกรณี “รัสเซีย-ยูเครน” และ “อิสราเอ-ฮามาส” ไม่นับรวมจุดน่าวิตกที่สุด อย่างกรณีเหตุขัดแย้งระหว่าง “จีน-ไต้หวัน” เพราะปัญหานี้มีผลกระทบโดยตรงต่อภาคเศรษฐกิจ

 

 

6.ปัญหาว่าด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นเรื่องยากในการทำให้ธุรกิจเติบโตเหมือนในอดีต เนื่องจากภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น และประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ทำให้โอกาสเข้าถึงความก้าวหน้าทางสังคมเกิดขึ้นได้ยาก 7.ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งยังเป็นปัญหาหลักของไทย หลังจากมีตัวเลขยืนยันการติดลบต่อเนื่อง 5 เดือน และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าไม่มีการแก้ไขให้ถูกจุด หรือมีมุมมองที่ถูกต้องจากฝ่ายเกี่ยวข้อง

8.การย้ายถิ่นฐานในลักษณะการบังคับให้มีความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราเห็นเกิดขึ้นในหลายประเทศ และ หากไม่สามารถยุติได้จะเป็นปัญหาของโลกต่อไป 9.ความตกต่ำของระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการเติบโตเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลงอีกเหลือเพียง 2% ขณะที่จีดีพีไทยตลอด 5 ปีที่ผ่านมีอัตราขยายตัวต่ำกว่าเศรษฐกิจโลก และ 10 . ปัญหามลภาวะฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้น จนเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ เพราะสร้างปัญหาด้านสุขภาพให้กับคนไทย รวมถึงภาพลักษณ์ประเทศ ซึ่งทุกฝ่ายคาดหวังจะสามาถแก้ไขได้ในไม่ช้า

 

ช่วงท้าย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ขณะที่ไทยคาดหวังจะเห็นนักลงทุนจีนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น การประสานระหว่างไทยและจีน ผ่านสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน จึงถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจากการติดตามข่าวจีนมาตลอดแต่กับพื้นที่สื่อของไทย ไม่ค่อยได้เห็นข้อมูลรายละเอียดเหล่านี้

โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนาของจีนที่ควรนำมาเป็นแบบอย่างต่อภาคธุรกิจไทย จึงอยากให้สมาคมสื่อฯถ่ายทอดความรู้ความสามารถด้านต่าง ๆ ของจีนให้คนไทยได้ร่วมศึกษาพัฒนาต่อยอดความรู้ความสามารถต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ส่วนตัวยังเชื่อว่าภายใต้ภาวะความขัดแย้งทางการเมืองและการค้าของชาติมหาอำนาจโลก ท้ายสุดอาจเป็นผลดีในการตัดสินใจของจีน สำหรับการเลือกไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้ามากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการกีดกันทางการค้า

 

 

“ผมอยากเห็นการวางตัวของประเทศไทย เพื่อประโยชน์ในภาพรวมที่เราจะได้รับ เพราะจีนเป็นประเทศที่มีการส่งออกมาก ดังนั้นการที่ประเทศจีนมีปัญทางการค้ากับสหรัฐ จีนก็คงมีแผนจะเดินหน้ากระจายฐานการผลิตออกไปในหลาย ๆ ประเทศ และเราก็หวังว่าจีนจะเลือกไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าที่สำคัญในอนาคต ซึ่งทฤษฎี ไชน่า พลัส วัน และ อินเดีย พลัส วัน ทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นฐานการผลิตที่ 2 ของบริษัทในจีน หรือ อินเดีย ได้ ซึ่งถือเป็นปริมาณการผลิตที่ใหญ่มาก และเรื่องเหล่านี้ถือเป็นนโยบายของภาครัฐที่จะดำเนินการต่อไป”

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

รัสเซียลั่นจะตอบโต้ถ้ายูเครนใช้ ATACMS จริง
"ผบ.ทร." เป็นประธานงานสถาปนา "โรงเรียนนายเรือ" ครบรอบ 118 ปี
รองผบช.ภ.2 แถลงปิดคดี ผู้ต้องหา ฆ่าตัดนิ้ว 'แม่ยายอัยการ' เจ้าตัวสารภาพ ต้องการเงินใช้หนี้ ลงมือเพียงลำพัง
"รมว.สุดาวรรณ" เผย วธ.ร่วมสำนักนายกรัฐมนตรี เตรียมพร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากจีนมาประดิษฐานในไทย วันที่ 4 ธ.ค.67-14 ก.พ.68
"ผู้เสียหาย" ร้องสอบ "เอ๋ คลองหลวง" ท้าวแชร์ไฮโซ ส่อโกงกว่า 12 ล้าน
สหรัฐฯปลดล็อก ATACMS ให้ยูเครน มีผลอย่างไร
“เมืองไทยประกันภัย” เชิญ “ศิลปินแห่งชาติ” ร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง
"พระพยอม" ชี้ "ตาทิพย์" เป็นวิชามาร ไม่มีในพระไตรปิฎก เตือนพระที่สอน อย่าทำตัวเป็นศาสดา
ผู้บัญชาการกองพลนาวิกโยธิน ตรวจเยี่ยมกองพันรถถัง กองพลนาวิกโยธิน สร้างขวัญกำลังใจ
ชาวบ้าน สุดทน สารเคมีไหลลงแหล่งน้ำ เตรียมแจ้งความเอาผิดกรมบังคับคดี

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น