เหมือนหมดมุกงานอีเว้นท์อดข้าวอดน้ำประท้วงเพื่อกดดันให้ศาลยุติธรรมคืนเสรีภาพพ้นคุก งานนี้จึงต้องยืมมือ 3 นิ้วรุ่นคุณทวดออกหน้าแทนพรรคส้มที่คอยให้ท้ายอยู่เบื้องหลังต้องหลบฉากไปพลางก่อนเพราะกลัวกระแสสังคมตีกลับ จึงต้องใช้ 3 นิ้วรุ่นคุณทวดลากสังขารนำทัพ อาทิ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ , อธึกกิต แสวงสุข หรือ ใบตองแห้ง , สุชาติ สวัสดิ์ศรี หรือ สิงห์ สนามหลวง และ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่อ้างว่า ตัวเองเป็นคณะปัญญาชนและสื่อมวลชนอาวุโสชั้นนำของไทย จะเดินทางไปยื่นคำแถลงต่อศาลอาญา เพื่อขอให้พิจารณาไม่รับฝากขังและคัดค้านการไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน ทะลุวัง และ นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ แฟรงค์ ผู้ต้องหาคดี 112 และคดีคุกคาม “ขบวนเสด็จฯ”
เพื่อเบิกเนตรสาวกให้ตาสว่างจึงขอนำคำกล่าวของ “ดร.นิว” หรือ “ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ“ ลอกคราบ “ส.ศิวรักษ์” มาให้เห็นเป็นขวัญตา โดย “ดร.นิว” ระบุข้อความว่า
ได้ฟังนายสุลักษณ์พูดเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม และ มาตรา 112 รู้เลยว่ารู้ไม่จริง เพราะปัญหามันไม่ใช่การวิจารณ์โดยสุจริต หากแต่เต็มไปด้วยการหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายละเมิดสิทธิเสรีภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน โดยนายสุลักษณ์ยังตื้นเขินมากในหลายประเด็น รู้แบบงูๆ ปลาๆ เท่านั้น
มาตรา 112 ไม่ใช่คดีการเมือง หากแต่เป็นคดีความมั่นคง ซึ่งละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของพระประมุข แล้วก็อย่ามาอ้างความเป็นธรรม ที่พระมหากษัตริย์ถูกหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายนั้นเป็นธรรมหรือ? และ การนิรโทษกรรม มาตรา 112 ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง หากแต่เป็นการบิดเบือน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของกลุ่มคนที่คิดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ประชาชนปกติทั่วไปไม่มีใครเดือดร้อนเพราะ มาตรา 112
นายสุลักษณ์อายุ 90 ปี แล้ว แต่ยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และ เสียแรงที่เคยอ่านหนังสือของนายสุลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือธรรมะที่เขาแปล เพราะว่าเขาไม่ได้มีธรรมะอะไรเลย กลับเต็มไปความยึดมั่นถือมั่นในมิจฉาทิฏฐิ ข้ามไม่พ้นอัตตาของตน ยิ่งแก่ยิ่งหลงยิ่งเพิ่มพูนด้วยอัตตา อายุก็แก่ปูนนี้น่าจะหาความดีทำให้กับตัวเองบ้างถ้ายี่ห้อ “ปัญญาชนสยาม” ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อหลอกเด็ก ก็มาดีเบตพิสูจน์กันได้ครับ
หรือแม้แต่ “เปลวสีเงิน” กูรูการเมืองแห่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ยังเคยซัดเฒ่า 3 นิ้วซุกใต้กระโปรงเด็ก นั้นคือ “ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” ศาสดาส้ม สามนิ้วก้าวไกล ชอบสั่งสอนให้คนรุ่นใหม่ที่เรียนประวัติศาสตร์ไม่เกิน 8 บรรทัดจากมือถือ ก็จะหลงทึกทักว่า แนวทาง ส้มสามนิ้ว รับจ้างฝรั่งล่มชาติล่มสถาบัน คือทางไปสู่ “สันติประชาธรรม” ซึ่งไม่ใช่ มันไปคนละเรื่องคนละโลก กับที่เฒ่าชาญวิทย์หลอกเด็ก ริจะเป็นผู้นำรุ่นใหม่กัดกร่อนบ่อนเซาะ ทำลายชาติกะเขาซักทีแทนที่กล้าจะสวมเกราะ ถือทวนออกหน้ากลับสวมตะปิ้ง วี้ดว้าย ซ่อนหน้า หลอกใช้เด็กออกไปรบแทนตัวเอง
ขนาด “อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม” ยังเคยออกมาแฉ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 กรณีที่เคยขอพระราชทานอภัยโทษ มาตรา 112 ให้กับ ส.ศิวรักษ์ โดยบอกว่า ส.ศิวรักษ์…. เนรคุณ อยากให้ทุกคนรู้ความจริง
ผมเป็นคนร่าง ฎีกา หรือ จดหมายขอพระราชทานอภัยโทษ มาตรา 112 ให้ ส.ศิวรักษ์ เอง ที่โดนคดีสมเด็จพระนเรศ เพราะปากดีที่ธรรมศาสตร์ ตอนแรกแกเขียนมาอ่านไม่รู้เรื่องใช้ราชาศัพท์ผิด เห็นคุยนักคุยหนาว่ารู้ขนบธรรมเนียม มันก็ขี้กรากตัวหนึ่ง ไม่รู้เรื่องอันใด ผมเป็นคนแนะนำทุกขั้นตอนเสียด้วยซ้ำว่าจะปฏิบัติอย่างไร
ส.ศิวรักษ์ โคตรโชคดีเลยว่าไหม ผมจึงสงสัยว่าทำไมถึงเนรคุณได้ถึงเพียงนี้ ใครจะนับถือมันก็นับถือไป แต่ผมไม่เอามันไว้ คนอกตัญญู โทร.มาหาผม แทบจะกราบเท้า อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ผมเห็นแก่มิตรสหายท่านหนึ่ง จึงช่วย แต่พอได้สมใจตนเองก็ไปอวดอ้างตน และไปเข้าข้างพวกที่ใส่ร้ายป้ายสี พวกที่จะล้มพระองค์ท่าน เป็นใครที่ได้เห็นได้รับรู้การกระทำแบบนี้จะเสียใจไหม ผมขอถามหน่อยเถอะ มีความเป็นคนมากน้อยเพียงใดกัน มาวันนี้มันชัดแล้วไม่ต้องมาขอพระราชทานอภัยโทษอะไรอีก คนเยี่ยงนี้ตายไปก็มีแต่คนสาปแช่ง นรกขุมไหนเดาเอาเองครับ ขี้เกียจพูดแล้ว ผมเองรู้สึกผิดจริงๆ ที่ช่วย
คำกล่าวของทั้ง ดร.นิว , เปลวสีเงิน และ อาจารย์เทพมนตรี เหมือนลอกคราบ 3 นิ้วรุ่นทวด ที่อุปโลกน์ว่า ตัวเองเป็นคณะปัญญาชนไทยของเก๊