เป็นอันต้องจบเห่ภายหลัง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ออกคำสั่งเด็ดปีก “พรรคก้าวไกล” ห้ามเด็ดขาดแตะมาตรา 112 เพราะเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทุกสายตาจับจ้องไปที่สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง หรือ กกต. ว่าเมื่อไรจะกระดิกตัวชิงลงมือยื่นเรื่องศาลรัฐธรรมนูญซ้ำอีกรอบเพื่อปิดเกมพรรคก้าวไกล เพราะต้องทำตามกฎหมาย แรงกดดันจึงถาโถมไปยัง กกต. เต็ม ๆ
ล่าสุด “นายอิทธิพร บุญประคอง” ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก้นร้อนต้องออกมาอัพเดทความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องยุบพรรคก้าวไกล ว่า ในส่วนของพรรคก้าวไกล หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อ 31 มกราคม ที่ผ่านมา กกต.ขอให้สำนักงาน กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองไปศึกษาคำวินิจฉัยและตัวบทของ พ.ร.ป.พรรคการเมืองว่า จะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง จากนั้นสำนักงานฯ ได้เสนอผลการศึกษาเบื้องต้น ซึ่งเห็นพ้องกันว่าจะต้องนำเอาคำวินิจฉัยฉบับสมบูรณ์มาประกอบการพิจารณาเสนอความเห็นด้วย และ คำวินิจฉัยฉบับสมบูรณ์ศาลรัฐธรรมนูญประกาศออกมา เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ผ่านทางราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น กกต. ต้องนำคำวินิจฉัยไปพิจารณาประกอบความเห็นที่ศึกษาไว้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามไม่มีกรอบเวลา แต่กระบวนการนี้คงใช้เวลาไม่มาก จะดำเนินการได้ ไม่ชักช้า
นั้นเป็นการตอบตามสเต็ปแต่ในสายตา “นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไม่เชื่อน้ำยา ถึงกับออกมาขู่ว่าถ้าไม่ดำเนินการภายในเดือนมีนาคมนี้ จะไปแจ้งความเอาผิด กกต. ตามมาตรา 157 เจ้าหน้าที่รัฐไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และกฎหมาย และมองทะลุว่าทำไมพรรคก้าวไกล ไม่ยื่นญัตติซักฟอกเพื่อลงมติตาม มาตรา 151 แต่เลือกที่จะยื่นซักฟอกโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ว่า มีสาเหตุมาจากความกลัวว่าจะถูกยุบพรรคเสียก่อนในช่วงเดือนเมษายน จนไม่มี ส.ส.ร่วมลงชื่อในญัตติ
นายสามารถ กล่าวต่อว่า แต่ต้องเห็นใจ เพราะวันนี้ สส.พรรคก้าวไกล เขารู้ทิศทางลมแล้ว เขารู้ว่าถ้ายุบพรรค เขาควรไปอยู่ที่ไหน เขาควรไปกับใคร เขาควรไปอยู่พรรคอะไร มันก็เลยกลายเป็นว่า นายชัยธวัช ตุลาธน จะใช้ญัตติ 152 แทน คือลงชื่อหนึ่งใน 10 ก็คือเพียง 50 คน เอาพรรคประชาธิปัตย์ไป 25 คน นายชัยธวัช และนายพิธา เหลืออยู่ 25 คน ไม่ขาดไม่เกิน พรรคก้าวไกล ในฐานะพรรคที่จะมีการตั้งพรรคการเมืองใหม่ ถ้าถูกยุบพรรคไปแล้ว นายชัยธวัช และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง คนที่จะตามไปแถว 2-3 ที่บอกว่าเยอะแน่ มีไม่เกิน 50 คน ต้องยอมรับว่า พรรคก้าวไกล ไม่มีศักยภาพแล้ว สส.หน้าใหม่ หน้าเก่า ทำงานกันสะเปะสะปะ และ เป็นไปได้ สส.100 คนของพรรคก้าวไกล ไปจับมือกับพรรคไหนเปลี่ยนรัฐบาล ถ้าไปยกมือให้ใครเป็นนายกฯ คนนั้นก็ได้เป็น นั่นคือสมการการเมืองที่ผมพูดว่า จะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ในเดือนเมษายน – พฤษภาคม เป็นจริงอย่างแน่นอน มันไม่มีบิ๊กดีล อะไรแล้ว แต่ก่อนที่เคยบอกว่า มีดีลลับฮ่องกง เมื่อก่อนเขาคงมีดีลจริง แต่วันนี้ผมว่าคุณทักษิณ เขาคงรูัทัน และเขามองว่า สมการการเมืองมันเปลี่ยนแน่
ทั้งนี้ มีการมองกันก่อนหน้านี้ว่า กกต.ไม่กล้ายุบพรรคก้าวไกล เพราะอาจหวั่นเกรง ว่า หากยิ่งยุบพรรคก้าวไกลยิ่งจะทำให้พรรคก้าวไกลเติบโตแข็งแกร่งขึ้น เหมือนศาสดา 3นิ้ว “นายปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า ชอบใช้วาทกรรมข่มขู่ “ตายสิบเกิดแสน” การเลือกตั้งครั้งหน้านอนมาแบบแลนด์สไลด์เป็นรัฐบาลพรรคเดียว แต่บางฝ่ายมองตรงกันข้าม หากยุบพรรค ยิ่งทำให้ “พรรคก้าวไกล” อ่อนกำลังลงไปเรื่อย ๆ เนื่องจาก ส.ส.ก้าวไกลระดับแถว 2 หรือแถว 3 ที่เป็นตัวสำรองรอเสียบขึ้นมาแทนแกนนำปัจจุบันฝีไม้ลายมือทางการเมืองยังไม่เจ๋งพอ และที่สำคัญคำสั่งประหารของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุชัดเจนว่า พรรคก้าวไกล จงใจล้มล้างการปกครอง ยิ่งได้เห็นภาพและพฤติกรรมหลักฐานคาตาแก๊งป่วนขบวนเสด็จฯ เป็นพวกเดียวกับพรรคก้าวไกล คอยสนับสนุนให้ท้ายอยู่เบื้องหลัง ยิ่งทำให้บรรดาสาวกส้มค่อย ๆ ตาสว่างทยอยตีจากพรรคก้าวไกล ดังนั้นหากมีการเลือกตั้งจริง จะตายสิบเกิดแสน หรือ ตายสิบเกิดสิบกันแน่
ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวของ”พรรคก้าวไกล” เริ่มขยับแรง เพราะชัดเจนแล้วว่า พรรคก้าวไกลจะถูกยุบในไม่ช้า เนื่องจากล่าสุด กกต. มีกำหนดนัดประชุมเพื่อพิจารณาคำร้องยุบพรรคก้าวไกลในสัปดาห์หน้า และ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ระบุว่าจะดำเนินการโดยไม่ชักช้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นข้อกฎหมายทำให้พิจารณาไม่นาน และ บรรดานักร้องตัวตึงมือปราบ 112 ออกมากระทุ้งทุกวัน กกต.รายวัน กกต. จึงต้องเร่งเครื่องส่งคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยยุบพรรคตามคำเรียกร้อง
ในขณะเดียวกัน “พรรคก้าวไกล” เริ่มมีการเคลื่อนไหวเอาคืน”ศาลรัฐธรรมูญ” ด้วยการเสนอญัตติด่วน ตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญกับฝ่ายนิติบัญญัติ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการแก้ไข มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลมีเจตนาล้มล้างการปกครองฯ ซึ่งมองได้ว่าเป็นปฏิกิริยาโต้กลับ
ดังนั้นเมื่อมีความชัดเจนในชะตากรรมยุบพรรคก้าวไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ มีบางฝ่ายมองข้ามช็อต หากพรรคก้าวไกลม่องเท่ง มีแววว่า ส.ส.พรรคก้าวไกลเป็นอันต้องวงแตกแยกทางไปหารังใหม่ มีสองทางไป คือ
1.ย้ายไปพรรคที่เป็นฝ่ายเดียวกัน อาทิ “พรรคเป็นธรรม” ที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ร่างทรงพรรคก้าวไกลไปฝังตัวไว้รอไว้แล้วก่อนหน้านี้ หรือ ย้ายไปซบ “พรรคไทยสร้างไทย” ที่มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นผู้ก่อตั้งที่มีแนวทางทางการเมืองคล้าย ๆกัน
หรือ 2.ย้ายข้ามขั้วไปอยู่ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมใหม่ที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นหัวหอกขั้วรัฐบาลปัจจุบัน ยิ่ง “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คัมแบ็คการเมืองเต็มตัว อำนาจบารมีพรรคเพื่อไทยยิ่งพอกพูนเป็นทับทวีคูณ ดังนั้นในช่วงเวลา ยุบพรรคก้าวไกล ราว ๆ เดือนเมษายน ถึง พฤษภาคม นี้ ย่อมจะได้เห็นปรากฎการณ์ งูเห่าส้มเลื้อยหารังใหม่กันยั้วเยี้ย หรือ ยังจะปักหลักอยู่พรรคส้มตามเดิมแค่เปลี่ยนชื่อใหม่ จึงต้องเกาะติดสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิดว่า การเมืองไทยอาจเปลี่ยนหน้าไพ่ทั้งกระดาน หลัง พรรคก้าวไกล ชะตาขาด “ส.ส.” วงแตกหนีตายหาพรรคใหม่อยู่ไม่ถึงศึกซักฟอกช่วงเดือนเมษายนนี้ น่าเสียดายอดดู “พรรคก้าวไกล” โชว์ฟอร์มคงได้แต่ชกลมเท่านั้นเอง