เปิดโปรไฟล์ครอบครัว “สว.อุปกิต” จับตาคำพิพากษาส่อพลิกคดีฟอกเงิน ใครใส่ร้ายรอรับกรรม

แน่นอนว่าจุดนี้กลายเป็นประเด็นที่สื่อหลายสำนัก วิเคราะห์ว่าอาจเป็นปมร้อนแรงสำหรับพนักงานสอบสวน ถ้าในชั้นการพิจารณาของศาล ออกมาว่านายอุปกิตเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งทีมทนาย นายอุปกิต ค่อนข้างมั่นใจในพยานหลักฐานต่อสูทางคดี และสื่อให้เห็นว่ามีความพยายามสร้างพยานใส่ร้ายผู้ถูกกล่าวหา เช่น การยื่นเงื่อนไขกับผู้ต้องหาหรือจำเลยบางคน ให้การในทางที่เป็นโทษกับนายอุปกิต แต่ถูกปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา เพราะนายอุปกิตไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับธุรกิจของ บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป มานานแล้ว

และเมื่อย้อนกลับมาอีกด้าน กระแสสังคมเริ่มมีการพูดถึงผลที่เกิดขึ้นจากคดีดังกล่าว ว่า ปรากฎการณ์ที่ทำให้ นายอุปกิต ซึ่งถูกโจมตีมาโดยตลอด ในฐานะ “สว.ทรงเอ” แต่วันนี้มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่า ข้อกล่าวหาอาจไม่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา แต่มีกระบวนการซ่อนเงื่อน พยายามใส่ร้าย นายอุปกิต ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้กระแสเริ่มตีกลับ นอกจากทิศทางคดีที่เปลี่ยนไปแล้ว จากข้อมูลทางคดีที่เป็นข่าวออกมา อาจเป็นเพราะพื้นฐานครอบครัว “ปาจารียางกูร” ที่ทำให้สาธารณชนรู้สึกว่า ข้อกล่าวหาที่เริ่มต้นมาจาก นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคก้าวไกล อาจเป็นความพยายามทำให้ นายอุปกิต เป็นแพะรับบาปทางการเมือง ในฐานะสว.จากการแต่งตั้งโดยคสช.

โดย นายอุปกิต ปาจรียางกูร หรือ อู สมาชิกวุฒิสภาลำดับที่ 248 เคยเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศระดับ 7 และเป็นบุตรของนายอุปดิศร์ ปาจรียางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ 3 สมัย ไม่รวมถึงบรรพบุรุษรุ่นตา ยังมีโปรไฟล์ไม่ธรรมดา เป็นถึงเจ้าพระยา ที่มีทรัพย์สมบัติตกทอดสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาขบวนการนอกรีต

สรุปงานนี้ต้องติดตามติดอย่างใกล้ชิดว่า คดีที่ นายอุปกิต ถูกตั้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน จะจบอย่างไร และ หลังศาลมีคำพิพากษา นายรังสิมันต์ โรม สส. ก้าวไกล จะต้องเป็นคนเดือดร้อนหรือไม่ เพราะก่อนหน้านั้นถูกนายอุปกิต ฟ้องร้องในข้อหา “หมิ่นประมาท” เรียกค่าเสียหายเป็นเม็ดเงินสูงถึง 100 ล้านบาท