“พิชัย” ย้ำฝากธปท.ทบทวนดอกเบี้ยนโยบาย ห่วงภาวะหนี้กระทบแผนกระตุ้นศก.ระวังจีดีพีไทยปี 67 ขยายตัวต่ำ หลังเงินเฟ้อปี 66 ติดลบ 5 เดือน

"พิชัย" ย้ำฝากธปท.ทบทวนดอกเบี้ยนโยบาย ห่วงภาวะหนี้กระทบแผนกระตุ้นศก.ระวังจีดีพีไทยปี 67 ขยายตัวต่ำ หลังเงินเฟ้อปี 66 ติดลบ 5 เดือน

พิชัย” ห่วง เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ หลังเงินเฟ้อติดลบ 5 เดือนซ้อนสวนทางโลก ชี้ ความไม่แน่นอนของโลกทำให้ราคาบิตคอยน์และทองคำพุ่งขึ้น จี้ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบาย และลดช่วงห่างดอกเบี้ยเงินกู้เงินฝาก ตามข้อแนะนำสภาพัฒน์ฯ

 

จากสถานการณ์ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ยังน่าเป็นห่วงจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการพัฒนาของภาครัฐ ล่าสุด นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์และการเมือง พรรคเพื่อไทย ในฐานะ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นว่า จากปรากฎการณ์เงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ยังคงติดลบ -0.77% และเป็นการติดลบเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน สวนทางกับเงินเฟ้อในสหรัฐที่กลับมาเพิ่มขึ้น 3.2% และ เงินเฟ้อในประเทศจีนกลับมาเป็น + 0.7%

นอกจากนี้เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ อีกทั้งเศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ดี ยังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐคงไม่ลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นตามที่คาดการณ์กัน แต่เมื่อย้อนมาดูสถานการณ์เศรษฐกิจไทยกลับดูแย่ลง สำนักเศรษญกิจหลายแห่งเริ่มลดตังเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้เหลือเพียง 2% กว่าเท่านั้น ซึ่งอาจจะแย่กว่านี้หากทุกหน่วยงานไม่เร่งร่วมมือช่วยกันแก้ไข

.

 

ข่าวที่น่าสนใจ

“ในภาวะเศรษฐกิจทำท่าจะแย่ลง และ หนี้เสียมีแนวโน้มจะมากขึ้น จึงจำเป็นที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องเร่งลดดอกเบี้ยนโยบายลงและลดช่วงห่างดอกเบี้ยเงินกู้เงินฝากได้แล้ว เหมือนที่เลขาสภาพัฒน์ฯเคยเสนอไว้ เพราะค่าเงินบาทยังแข็งค่าและเงินสำรองระหว่างประเทศของไทยยังคงมีเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้การลดดอกเบี้ยนโยบายควรทำควบคู่ไปกับการลดช่วงห่างระหว่างเงินกู้เงินฝาก (NIM) ที่ประเทศไทยมีช่วงห่างสูงมากถึง 6% ในขณะที่ประเทศอื่นๆในอาเซียนอยู่ในระดับ 2-3% เท่านั้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยลดภาระของประชาชนได้ และส่งสัญญาณให้เห็นว่า ธปท. มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจเช่นเดียวกับทุกฝ่าย

ประเด็นสำคัญ คือ การลดดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ช่วยทำให้ภาคการส่งออกไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งน่าจะตรงข้ามกับที่ ผู้ว่า ธปท. บอกว่าถ้าลดดอกเบี้ยจะไม่ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนมามากขึ้น และ ไม่ช่วยให้ส่งปิโตรเคมีไปจีนได้มากขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะจริง ไม่ทราบท่านผู้ว่า ธปท ใช้หลักการอะไรพิจารณาถึงได้พูดแบบนั้น เพราะขนาดค่าเงินบาทไม่อ่อนเท่าไหร่นักปรากฎว่าจำนวนท่องเที่ยวตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 10 มีนาคม 2567 ยังเข้ามาเที่ยวไทยมากถึง 7.4 ล้านคนแล้ว”

นายพิชัย ระบุด้วยว่า การตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายก่อน จะทำให้ไทยมีค่าเงินอ่อนก่อนและได้เปรียบก่อน เพราะอย่างไรสหรัฐน่าจะลดดอกเบี้ยในกลางปีนี้ค่อนข้างแน่ แต่ถ้าลดดอดเบี้่ยตามสหรัฐ ไทยอาจจะไม่ได้เปรียบเพราะประเทศู่แข่งจะลดตามกันหมด อีกทั้งควรเร่งการลดช่วงห่างของดอกเบี้ยเงินกู้เงินฝากโดยการลดดอกเบี้ย MRR, MLR และ MOR ( ดอกเบี้ย MRR คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี, ดอกเบี้ย MLR คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทมีกำหนดระยะเวลา ที่แต่ละธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี, ดอกเบี้ย MOR คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี) ซึ่งธนาคารพาณิชย์สามารถทำได้ทันทีและยังสามารถประเมินความเสี่ยงใหม่ในแต่ละธุรกิจได้ด้วย และ ธปท. ควรออกมาตรการให้ธนาคารพาณิชย์เร่งดำเนินการในเรื่องนี้

 

“ในภาพรวมที่ท่านผู้ว่า ธปท. อ้างถึง จริง ๆ อยากให้เห็นภาพรวมที่เงินเฟ้อติดลบมา 5 เดือนซ้อน เพราะเป็นปัจจัยกระทบให้เศรษฐกิจไทยขาข้างหนึ่งอยู่ในภาวะถดถอย โดยจากจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2566 ที่ลดลงจากไตรมาส 3 ทำให้ต้องจับตาดูจีดีพีในไตรมาส 1 ปี 2567 โดยหวังว่าจะไม่ต่ำกว่าจีดีพีในไตรมาส 4 ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามเต็มที่เพื่อไม่ให้ติดลบ ทั้งภาคการส่งออกในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นถึง 10% และนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 ล้านคนตามที่บอกไว้ ก็หวังว่าจะช่วยจีดีพีไตรมาส 1 ให้ไม่ติดลบ แม้การใช้งบประมาณยังใช้ไม่ได้เพราะยังไม่ผ่านสภาฯ แต่ปัญหาหนี้ ทั้งหนี้ภาครัฐ และหนี้ภาคครัวเรือน และ หนี้เสียยังคงเป็นปัญหาอย่างมาก ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยได้มาก”

 

 

นายพิชัย ให้ความเห็นตอนท้ายว่า ปัจจุบันต้องยอมรับในภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงไม่ดีนัก แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะดีขึ้น แต่มีแนวโน้มคงจะไม่ดีมากนัก ส่วนเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นไข้ดี จากปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจยุโรปยังคงย่ำแย่ ขนาดประเทศเยอรมันที่แข็งแกร่ง ก็เข้าสู่ภาวะถดถอยพร้อมกับประเทศอังกฤษ รวมถึงประเทศญี่ปุ่นก็เพิ่งหลุดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยออกมาได้

และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับปัญหาความขัดแย้งในหลายพื้นที่ ทำให้ราคาบิตคอยน์และราคาทองคำเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยตนได้แนะนำผ่านสื่อให้ลงทุนในบิตคอยน์และทองคำในกลางเดือนมกราคม ขณะนั้นราคาบิตคอยน์อยู่ที่ 40,000 ดอลล่าร์ ปัจจุบันประมาณ 2 เดือนผ่านมา ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุ 70,000 ดอลลาร์ และ ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นทำลายสถิตินิวไฮแทบทุกวัน ซึ่งขณะที่ราคาพุ่งขึ้นสูงมากนี้ ขอแนะนำว่าต้องใช้วิจารณญาณในการลงทุนและต้องติดตามข่าวสารตลอดเวลา แต่ราคาทองคำน่าจะผันผวนน้อยกว่าราคาบิตคอยน์

“ในความผันผวนของโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จึงอยากเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันสนับสนุนรัฐบาลให้สามารถแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจไทยให้กลับมาขยายตัวได้มากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนที่กำลังลำบากกันอย่างมาก และ ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนลง อีกทั้งสนับสนุนโครงการใหญ่ๆของรัฐบาลให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อเพิ่มโอกาสของประชาชน”

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สายแคมป์ห้ามพลาด! ทล.เปิด 37 จุดกางเต็นท์ฟรีช่วงปีใหม่ หนุนท่องเที่ยวในประเทศอย่างยั่งยืน
ตร.ไซเบอร์ บุกทลายคลังแสงกลางหมู่บ้านหรูเมืองปทุมฯ ยึดปืนเถื่อน-เครื่องกระสุนเพียบ
"บัวขาว" โพสต์ภาพชุด "ปราบมังกรจีน" ไล่อัด "หาน เหวินเป่า" นักชกคิกบ็อกซิ่ง คว้าชัยฉลอง 80 ปี เวทีราชดำเนิน
"กรมศิลปากร" ชวนเที่ยวงาน "แอ่วกุมกามยามแลง Moon and Me" ชมความงามยุคล้านนา จ.เชียงใหม่
รบ.รณรงค์ “ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” เอาจริงเมาขับ ขู่คุกไม่เกิน 1 ปี ฟันร้านค้า-ผู้ปกครอง หากขายให้เยาวชน
"ผู้การแต้ม" ท้า "สันธนะ" เปิดหลักฐานเด็ด เผย "สจ.โต้ง" รู้ตัว ก่อนถูกสั่งเก็บ
เปิดคลิป นาทีคนร้ายขับรถพุ่งชนคน กลางตลาดคริสต์มาส เยอรมนี เสียชีวิต 5 บาดเจ็บเพียบ
คนร้ายขว้างไปป์บอมบ์ใส่ฐาน ตชด. นราธิวาส เจ้าหน้าที่ เจ็บ 4 นาย
จับตา! “ว้าแดง” ถ่วงเวลาแอบดัดแปลงฐานที่มั่น สร้างบังเกอร์-วางทุ่นระเบิด
กรมอุตุฯ เผย ไทยตอนบนอากาศหนาวเย็น มีลมแรง ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนอง 20%

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น